วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มฤตยูน้ำหมึก



ฟุงเค่อ, คอร์เนอเลีย. มฤตยูน้ำหมึก = Inkdeath. วัชรวิชญ์, แปล. กรุงเทพฯ :
นานมีบุ๊คส์ทีน, 2551. 669 หน้า. ราคา 395 บาท.


เป็นตอนจบของวรรณกรรมไตรภาค ต่อจากหัวใจน้ำหมึก และมนตร์น้ำหมึก
เริ่มเรื่องคือมอร์ติเมอร์ เรซ่าและเม็กกี้ ได้เข้าไปอยู่ในโลกน้ำหมึก ทิ้งให้เอลินอร์ ลอเรดัน ยังคงอยู่ที่บ้านของเธอ กับดาริอุสและแซเบรุส สุนัขของออเฟอุส ทำให้เธอทุกข์โศกด้วยความคิดถึงและเป็นห่วง เธอกลัวว่าบาสต้ากับยายนกมอร์โทลาจะทำร้ายพวกเขา สุดท้ายดาริอุสผู้แสนดีของเธอ ได้อ่านข้อความที
ออเฟอุสทิ้งไว้เพื่อให้ทั้งสองได้เข้ามาอยู่ในโลกน้ำหมึก ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตในโลกน้ำหมึก หลังจากเจ้าชายโคสิโมตายไป เศียรอสรพิษให้พี่เมียคือเจ้านกกระจิบปกครองโอมบร้า ซึ่งเอาแต่ขุดรีดประชาชน และให้ออเฟอุสซึ่งในตอนนี้ได้กลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว อ่านสัตว์แปลก ๆ มาให้ล่า โดยบิดเบือนถ้อยคำของเฟโนกลิโอ สร้างสรรค์พวกมันขึ้นมาใหม่เพียงเพื่อจะขายให้ได้เงินมา ขณะเดียวกันฟาริดต้องคอยติดตามรับใช้ออเฟอุสไปทุกแห่งหน เพียงเพราะหวังว่าวันหนึ่งเขาจะเขียนถ้อยคำดีๆ ที่จะพานิ้วฝุ่นกลับมา

         มอร์ติเมอร์ในภาคนี้เป็นนกปีกลายโจรขวัญใจชาวบ้านเพราะได้ร่วมมือกับเจ้าชายดำคอยช่วยเหลือพวกชาวบ้านโดยการเก็บซ่อนเสบียงอาหารรวมถึงสัตว์เลี้ยงไว้ให้พ้นสายตาทหาร ส่วนเรซ่ากำลังตั้งท้องอ่อนๆทำให้เธออยากกลับบ้านเธอแต่โมไม่ยอมกลับ ทำให้เธอแอบเดินทางไปพบเฟโนกลิโอเพื่อให้เขาช่วย แต่เฟโนกลิโอไม่สนใจ เธอจึงบากหน้าไปหาออเฟอุส ออเฟอุสยินดีช่วยแต่มีข้อแม้ว่าโมต้องเรียกนางพรายขาวมาให้เขาสอบถาม เรื่องที่จะพานิ้วฝุ่นกลับมาได้อย่างไร เรซ่าไม่ตกลงด้วยเพราะนางพรายขาวจะเอาตัวโมกลับไปด้วย เมื่อฟาริดรู้เรื่องเขาไปขอร้องโมให้เรียกนางพรายขาวมา เพราะเขาต้องการนิ้วฝุ่นกลับมา จนไม่นึกถึงใครทั้งนั้น ทำให้เม็กกี้เสียใจมากที่ฟาริดรักนิ้วฝุ่นมากกว่าเธอ โมตัดสินใจช่วยออเฟอุส เพราะต้องการให้เม็กกี้ เรซ่าและลูกในท้องของเธอปลอดภัยในโลกปกติ แต่เขาก็จะขอให้ออเฟอุสเขียนเขาตามไปทีหลัง เพราะเขายังห่วงชาวเมืองโอมบร้าอยู่ เมื่อเขาเรียกนางพรายขาวมาพวกนางก็นำเขากลับไปด้วยโดยที่ออเฟอุสไม่ได้ถามอะไรนางสักคำ แต่ในความเป็นจริงแล้วออเฟอุสตั้งใจให้พวกนางนำโมไป ฟาริดเสียใจมากที่ช่วยคนผิด เขาเลิกติดตามออเฟอุส แต่เม็กกี้ก็โกรธเขามากจนไม่พูดกับเขาอีก แต่โมก็กลับมาได้แถมยังพานิ้วฝุ่นกลับมาอีกด้วย เพราะเขาได้สัญญากับเจ้ามฤตยูไว้ว่าจะนำตัวเศียรอสรพิษมาคืนให้ โดยเขียนคำ 3 คำลงไปในหนังสือ หากเขาทำไม่ได้เจ้ามฤตยูจะเอาตัวเม็กกี้และเขาไปแทน ชดเชยความผิดที่โมทำหนังสือไร้ข้อความให้เศียรอสรพิษเป็นอมตะ

       ในขณะเดียวกันเศียรอสรพิษที่เป็นอมตะ ก็กำลังต้องการตัวโมเช่นกัน เนื่องจากหนังสือไร้ข้อความกำลังบวมอืดจากกระดาษที่เปียกชื้น ทำให้ตัวเขาไม่สบาย เนื้อตัวเน่าเหม็น แต่ไม่ตาย ต้องการให้โมมาเข้าเล่มหนังสือเล่มใหม่ให้ โมยอมเข้าไปติดกับของนกหวีด เพื่อช่วยเด็ก ๆ ที่จะถูกจับตัวไปทำเหมืองเงิน และเพื่อหาโอกาสฆ่าเศียรอสรพิษ เขาได้รับการช่วยเหลือจากท่านหญิงน่าเกลียดบุตรสาวของเศียรอสรพิษที่เกลียดชังพ่อชั่วร้ายของตน
เป็นตอนที่อ่านสนุก เนื่องจากเนื้อเรื่องไม่ได้มีเฟโนกลิโอเท่านั้นที่จะเขียนให้เรื่องเป็นไปตามที่ต้องการได้เพียงคนเดียว แต่มีออเฟอุสอีกคนซึ่งไปเข้าข้างเศียรอสรพิษ สามารถแต่งเรื่องให้ไปในทางเลวร้ายได้ ทำให้ผู้อ่านต้องเอาใจช่วยฝ่ายโมว่าจะมีตอนจบอย่างไร ซึ่งในที่สุดตัวละครที่ไม่มีใครมองหรือสนใจก็ทำให้เรื่องจบลงด้วยดีได้ นั่นคือยาโคโปลูกชายของวิโอลันเต้กับเจ้าชายโคสิโม สามารถนำหนังสือไร้ข้อความมาให้โมเขียนคำ 3 คำลงไปได้ คำ 3 คำนั้นคือ หัวใจ มนตรา และมฤตยู ทำให้เศียรอสรพิษตายไปได้ การกำหนดให้เด็กน้อยเป็นผู้ช่วยนั้น นับว่ายอดเยี่ยม เพราะผู้ใหญ่มักไม่ค่อยได้ทันระวังเด็ก ๆ และเด็กมักเห็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่เห็น ยาโคโปจึงรู้ที่ซ่อนหนังสือไร้ข้อความ ขณะที่นิ้วฝุ่นตามหาแทบตาย นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างแม่ลูกที่แม้ไม่ค่อยจะแสดงความรักให้แก่กัน แต่เมื่อลูกเห็นแม่ถูกทำร้ายโดยตา ลูกก็รู้สึกเจ็บปวดแทน และต้องการช่วยแม่ทันที
ในระหว่างเรื่องผู้อ่านจะรู้ว่าเม็กกี้จะไม่ได้แต่งงานกับฟาริด แต่เป็นโดเรีย ซึ่งจะเป็นผู้มีชื่อเสียงในอนาคต สร้างสิ่งประดิษฐ์มากมาย ส่วนในตอนท้ายโมมีลูกชาย และทุกคนก็ยังอยู่ที่โอมบร้า ไม่ได้กลับโลกปกติ แต่ผู้แต่งก็ทิ้งท้ายว่าลูกชายของโมอาจจะได้กลับมาสู่โลกปกติสักวันหนึ่ง

        อ่านจบลงแล้วให้ความรู้สึกเต็มอิ่ม เป็นเรื่องหนึ่งที่ชอบมาก ทั้งพล็อตและเนื้อเรื่อง สลับซับซ้อนยิ่งกว่าในสองเล่มแรก

คอเนเลีย ฟุงเค่อ กล่าวกับหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ว่า

"ฉันคิดว่าเด็กๆ ควรเริ่มอ่าน หัวใจน้ำหมึก เมื่อเขาอายุประมาณ 8 ขวบ อ่านมนตร์น้ำหมึก ตอน 11 ขวบ จนอายุ 13 ถึงอ่าน มฤตยูน้ำหมึก"
และเห็นด้วยกับคำยกย่องว่า คอเนเลีย ฟุงเค่อเป็น เจ.เค.โรว์ลิ่ง แห่งเยอรมัน

สำหรับเกียรติประวัติของเธอ คือ เธอได้รางวัล BAMBI Award ซึ่งเป็นรางวัลที่ใหญ่ที่สุดรางวัลหนึ่งในเยอรมนี ที่ยิ่งใหญ่เทียบได้กับรางวัล Bafta หรือ รางวัล Grammy และได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ the Bundesverdienstkreuz ซึ่งเป็นเครื่องราชย์ชั้นสูงสุดของประเทศเยอรมนี

























































































วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คินดะอิจิ ตอน 23 ราชินีโพดำ




โยโคมิโซะ, เซชิ. คินดะอิจิยอดนักสืบ. ตอนที่ 23, ราชินีโพดำ. แปลโดย รัตน์จิต ทองเปรม. กรุงเทพฯ : JBook, 2554. 168 หน้า. ราคา 160 บาท.



เนื้อเรื่องเกี่ยวกับศพหญิงหัวขาดกลางทะเล พร้อมรอยสักรูปไพ่ราชินีโพดำ สะกิดใจภรรยาช่างสักว่าสามีผู้ล่วงลับด้วยอุบัติเหตุแท้จริงอาจถูกฆ่า หล่อนจึงขอให้คินดะอิจิช่วยสืบเรื่องราว และเล่าว่าสามีเคยถูกว่าจ้างโดยหญิงลึกลับให้สักภาพเดียวกันนี้แก่อีกหญิงหนึ่งซึ่งกำลังสลบไสล ในห้องปิดมิดชิดดูมีพิรุธ เมื่อคินดะอิจิสืบคดีทำให้ทราบว่า ฆาตกรรมทั้งหมดเป็นเรื่องการวางแผนของราชินีโพดำที่ต้องการออกจากวงการค้ายาเสพติด จึงวางแผนฆ่าตัวคอหญิงอีกคน เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นตนเอง แต่ขณะเดียวกันนี้ศพหญิงหัวขาดยังทำให้นักข่าวสาวคนหนึ่งที่ฉุกใจคิดว่าอาจเป็นพี่สาวซึ่งหายตัวไป เธอเขียนจดหมายถึงนักสืบว่าจะกลับมาขอคำปรึกษาแล้วรีบรุดไปดูศพ โดยไม่รู้เลยว่าจะกลายเป็นอีกคนที่ถูกฆาตกรรม
เป็นตอนที่อ่านสนุกตอนหนึ่ง เนื้อเรื่องวางได้ซับซ้อน ในตอนแรก ๆ ผู้อ่านจะคิดว่าคนร้ายเป็นใครระหว่างราชินีโพดำกับหญิงที่ถูกสักที่มีผู้สมรู้ร่วมคิดอีกคน ซึ่งผู้อ่านจะไม่ทราบว่าเป็นใคร เพราะเป็นคนที่ไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาชัด ๆ และไม่ได้อยู่ในแวดวงเดียวกัน และสงสัยว่าทำไมนักข่าวสาวต้องตายด้วย มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร แต่เมื่ออ่านไปจะพบว่า มีตัวการใหญ่อีกคนวางแผนซ้อนแผน ซึ่งในที่สุดคินดะอิจิก็สืบทราบว่า ผู้สมรู้ร่วมคิดตั้งแต่แรกเป็นฆาตกรที่แท้จริง และตัวตนจริง ๆ เป็นเจ้านายของนักข่าวสาวนั่นเอง ซึ่งในตอนแรกตั้งใจจะกำจัดราชินีและเจ้าพ่อในวงการยาเสพติด แต่เพราะความโลภที่ต้องการสมบัติในตู้นิรภัยของราชินีโพดำ จึงทำให้ต้องจัดการกับนักข่าวสาวที่รู้จักตนเอง

คินดะอิจิ ตอน 13 ผีเสื้ออมตะ



โยโคมิโซะ, เซชิ. คินดะอิจิยอดนักสืบ. ตอนที่ 13, ผีเสื้ออมตะ. แปลโดย บุษบา บรรจงมณี. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : บลิส พับลิชชิ่ง, 2551. 249 หน้า. ราคา 195 บาท.

    เป็นเรื่องที่ 13 ในหนังสือชุดคินดะอิจิ มี 2 เรื่องในเล่ม คือ ผีเสื้ออมตะ และแผลรูปหน้าคน

ผีเสื้ออมตะ  สองตระกูลใหญ่แห่งเมืองอิมิซึเป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่ลูกหลานกลับแอบมีใจเกิดเป็นรักต้องห้ามนำไปสู่โศกนาฏกรรม ลูกชายฝ่ายหนึ่งถูกฆ่าส่วนลูกสาวอีกฝ่ายโดนป้ายสีว่าเป็นฆาตกร จึงกระโดดบ่อน้ำในถ้ำลึกเพื่อฆ่าตัวตาย โดยทิ้งจดหมายเป็นปริศนา...ฉันขอลาจากแต่สักวันจะหวนคืน เหมือนผีเสื้อซึ่งแม้ตายก็ฟื้นคืนชีพ...ยี่สิบสามปีถัดมา คินดะอิจิเดินทางมาเมืองนี้เพื่อรับงานสืบประวัติคน ทั้งหวังจะได้พักผ่อนหลังคลี่คลายคดีใหญ่ แต่เขากลับพบว่างานครั้งนี้โยงใยสู่เหตุร้ายในอดีตและพัวพันกับหญิงแปลกหน้าจากแดนไกล ผู้มีใบหน้าละม้ายเจ้าของจดหมายปริศนาราวกับพิมพ์เดียว ซ้ำร้ายยังเกิดเหตุฆาตกรรมไม่คาดฝัน ดึงให้คินดะอิจิต้องรับบทผู้เปิดกล่องความลับดำมืดอีกครั้ง
       เนิ้อเรื่องในตอนนี้อ่านสนุก บรรยากาศในเรื่องเป็นลักษณะหมู่บ้านชนบทของญี่ปุ่นช่วงหลังสงคราม ภูมิประเทศจะเป็นภูเขามีถ้ำที่สลับซับซ้อน เรื่องนี้จะหลอกล่อคนอ่านให้เข้าใจว่าตัวละครที่เป็นตัวหลักซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรเมื่อ 23 ปีกลับมาอีกครั้ง แต่เมื่อเฉลยกลับเป็นอีกคน ส่วนฆาตกรตัวจริงทั้งปัจจุบันและอดีตไม่ค่อยได้กล่าวถึงนักในเรื่อง แม้กระทั่งตอนใกล้จบก็ยังให้ผู้อ่านคิดว่าเป็นอีกคน และคินดะอิจิก็หลบหน้าไป ไม่ยอมเฉลยกับทุกคนว่าฆาตกรตัวจริงเป็นใครแน่ มาเฉลยในย่อหน้าสุดท้ายของเรื่อง เป็นการตอกย้ำให้ชัด ๆ ว่าที่แท้เป็นคน ๆ นี้ และเป็นเรื่องซึ้ง ๆ ที่ทำให้ผู้อ่านน้ำตาตกได้


แผลเป็นหน้าคน เป็นเรื่องสั้น ๆ ที่อ่านสนุกดีเหมือนกัน เป็นเรื่องของหญิงสาวที่มีน้องสาวนิสัยเสีย ชอบแย่งของ ๆ พี่สาว โดยเฉพาะชายคนรักของเธอ ซึ่งเธอก็ให้อภัย แต่มีความหลังที่คิดเอาเองว่า เธอเป็นโรคเดินละเมอ ซึ่งอาจทำให้เธอฆ่าชายคนรักในอดีตซึ่งน้องสาวได้แย่งไป โดยไม่รู้ตัว เพราะเมื่อรู้สึกตัวเธอถือมีดและเนื้อตัวเปื้อนเลือด ทำให้พยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ และในที่สุดก็ได้มาทำงานในโรงแรมแห่งหนึ่งโดยได้เล่าอดีตของตนให้ใครฟัง ในที่แห่งนี้ เจ้าของโรงแรมพอใจเธอมาก จนต้องการให้แต่งงานกับลูกชายของตน แต่เธอกลับไม่กล้าแสดงความรักกับใครได้อีก จนน้องสาวกลับมาอยู่อีกครั้ง และแสดงนิสัยเดิมคือแย่งคนรักของเธออีก แต่แล้วน้องสาวกลับถูกฆ่าตาย ทำให้เธอออกมาสารภาพว่าเธอเป็นคนฆ่าเอง แต่คินดะอิจิอยู่ในเหตุการณ์ ทำให้ช่วยสืบจนรู้ว่า ตัวแม่ที่เป็นเจ้าของโรงแรมเป็นคนฆ่าเอง ซึ่งผู้อ่านไม่สามารถคาดเดาได้ เพราะเจ้าของโรงแรมเป็นอัมพาตครึ่งตัว
         แต่ชื่อตอนว่า "แผลเป็นหน้าคน" ไม่ค่อยจะเกี่ยวกับเนื้อเรื่องเท่าใด เพียงแค่สรุปว่าแผลเป็นนั้นเป็นฝาแฝดของเธอที่ไม่ได้เกิดเป็นคน แต่ฝังตัวอยู่ในเธอ และแสดงอาการออกมาเป็นแผลรูปหน้าคนเท่านั้น เพียงแต่ผ่าตัดก็ไม่เป็นไรแล้ว

ศรัทธามรณะ

ซิลวา, แดเนียล. ศรัทธามรณะ = The secret servant. แปลโดย ไพบูลย์ สุทธิ. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์ไครม์แอนด์มิสทรี, 2552. 383 หน้า. 245 บาท.


        เป็นผลงานเล่มที่ 7 ในชุด เกเบรียล อัลลอน ซึ่งติดอันดับขายดีในหลายประเทศ พระเอกเป็นสายลับอิสราเอล ผู้เป็นตำนานแห่ง "ถนนคิงซอล" เมืองเทลอาวีฟ แต่ขณะเดียวกันมีงานบังหน้าเป็นนักบูรณะงานศิลปะที่มีชื่อเสียง หนังสือในตอนนี้เกเบรียล อัลลอน ต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์เมื่อศาสตราจารย์ชาวยิวในเนเธอร์แลนด์ถูกลอบสังหาร โดยต้องไปทำภารกิจเก็บกวาดหลักฐานต่าง ๆ ที่คิดว่าจะง่าย แต่แล้วกลับพบเบาะแสน่ากลัวที่โยงใยไปถึงเหตุการณ์วางระเบิดสถานที่สำคัญในยุโรป ซึ่งลุกลามไปถึงการลักพาตัวหญิงสาวชาวอเมริกัน ที่มีพ่อทูนหัวเป็นถึงประธานาธิบดี ทั้งหมดเป็นฝีมือกลุ่มผู้ก่อการร้ายอิสลาม ซึ่งมีนักวางแผนอัจฉริยะอยู่เบื้องหลัง ขณะที่เสนอเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการก่อการร้ายของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง โดยผสมกับเหตุการณ์ก่อการร้ายจริงๆ ที่เกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศ ก็ได้ตีแผ่ถึงศรัทธาที่อยู่เบื้องหลังแนวคิดก่อการร้ายที่ยินดีสละชีพเพื่อศาสนา ซึ่งผู้อ่านจะได้รู้และเข้าใจถึงประวัติศาสตร์และการเมืองของโลกไปด้วย
        ในตอนนี้เนื้อเรื่องค่อนข้างซับซ้อน มีการวางแผนซ้อนและหักมุมอยู่หลายตอน และเห็นว่าหัวหน้าผู้ก่อการร้ายนั้นเป็นนักวางแผนชั้นยอด ขนาดที่ทำให้เกเบรียล อัลลอน เกือบตาย ผู้อ่านจะได้ลุ้นระทึกอย่างมาก แต่ที่เยี่ยมที่สุดคือการแสดงภาพการปกครองของประเทศอียิปต์ที่มีการระบบการปกครองแบบมูบารัก ที่มีการทรมานและฆ่าผู้คนที่ไม่เห็นด้วยอย่างเหี้ยมโหด แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งได้ ยิ่งฆ่าก็มีคนไม่เห็นด้วยเพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศยากจน แต่ชนชั้นปกครองกลับร่ำรวยยิ่งขึ้น และขณะเดียวกันศาสนาอิสลามก็เข้ามามีบทบาทกำหนดความเป็นไปของประเทศมากขึ้น ๆ

ฝนสีขาว

อาคากะวา, จิโร. ฝนสีขาว (Shiroi ame). แปลโดย ปัญจารีย์ จารีธนารักษ์. กรุงเทพฯ : Jbook, 2551. 176 หน้า. ราคา 160 บาท.



ฉากเรื่องนี้อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่บนเขาในกรุงโตเกียว มีตัวละครค่อนข้างมาก แต่ที่เป็นตัวหลัก ๆ ที่จะให้ดำเนินเรื่องมีอยู่ 5 ตัวหลัก ซึ่งตอนเริ่มเรื่องได้ปูพื้นตัวละคร 5 คน นี้ว่ามีที่มาอย่างไร ตัวละครเหล่านั้นได้มารวมกันในหมู่บ้านนี้ ตอนที่ฝนตก และฝนนั้นก็เป็นฝนสีขาว ซึ่งทุกคนที่เปียกฝนจะลุกขึ้นมาฆ่าคน ทำร้ายคน ตัวละครที่สำคัญ คือ
1. อิมะอิ หนุ่มนักศึกษาที่หลวมตัวมาเข้าชมรมปีนเขาเพราะชอบสาวอยู่คนหนึ่งที่ไม่ไยดีเขาเลยสักนิด เขาหายไประหว่างทางปีนขึ้นเขาหลังเดินรั้งท้ายตามหลังสาวคนนั้น เมื่อหกล้มสาวได้หันมาหัวเราะเยาะ แล้วเดินจากไป หลังถูกฝนสีขาว กลับไปที่ค่ายด้วยลักษณะที่เหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน และมุ่งไปสังหารเด็กสาวคนนั้น (และผู้ชายรุ่นพี่อีกคน) อย่างไม่ปรานี
2. โฮโซคาวา ชายหนุ่มผู้แต่งงานกับหญิงสาวเจ้าชู้ และครอบครัวของภรรยาเห็นค่าของเขาก็แต่เงิน วันหนึ่งเขากลับมาพบว่าภรรยามีชู้ขณะที่พ่อแม่ภรรยาก็สนับสนุนลูกสาวตัวเอง ความสิ้นหวังของเขาระเบิดขึ้นหลังฝนตก โดยไล่สังหารล้างครอบครัวภรรยา
3. โยชิเอะ หญิงสาวที่ถูกแม่สามีโขกสับ ขณะที่สามีก็เห็นว่าเธอไม่ต่างอะไรกับของเล่น เธอกำลังขับรถไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง และน้ำมันหมดพอดี จึงต้องออกจากรถมาหาน้ำมัน ขณะนั้นฝนสีขาวตกลงมา และเธอถูกคนขับรถบรรทุกเฉี่ยวล้ม คนขับรถที่คิดว่าเธอตายแล้วจึงนำเธอไปฝังไว้ แต่ก็กลับถูกโยชิเอะตีด้วยพลั่วจนตายเสียก่อน หลังจากนั้น โยชิเอะก็กลับไปฆ่าสามี และแม่สามี
4. มิซาโกะ เด็กหญิงที่อยู่กับน้องชายและพ่อที่ติดเหล้า ชอบทุบตีเธอเป็นประจำ ครั้นฝนสีขาวตกลงมาเธอจึงสังหารพ่อของตัวเอง เผาร้านเหล้าที่เธอไปซื้อประจำ และในที่สุดก็พบกับแม่ที่กลับมาหา
5. โอสึ นักศึกษาหนุ่ม ที่มีปมด้อยเรื่องผู้หญิง จึงกระหายอยากมีเซ็กซ์และข่มขืนแม่ของเด็กหญิงมิซาโกะ
เมื่ออ่านเรื่องนี้จะพบว่าตัวละครเหล่านี้มีจุดร่วมกันอยู่อย่างหนึ่ง คือถูกทำร้ายทางจิตใจ หรือเก็บกดอะไรบางอย่าง แต่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ ด้วยกรอบทางสังคม หรือด้วยกรอบศีลธรรมความผิดชอบชั่วดี เมื่อถูก'ฝนสีขาว' จึงทำให้สิ่งที่ซ่อนไว้ได้เปิดเผยออกมา
ความจริงเรื่องนี้ค่อนข้างคล้ายกับเรื่องนาฬิกา เวลาปาฎิหาริย์ ของนักเขียนคนเดียวกัน คือไม่มีที่มาที่ไป แต่จริง ๆ ผู้เขียนคงต้องการแค่เสนอเรื่องของคนที่ถูกเอาเปรียบว่าเมื่อเวลาที่สามารถแสดงอะไร ๆ ได้ตามต้องการนั้น คงมีความคิดที่จะจัดการหรือแก้แค้นคนที่เอาเปรียบให้ตาย ๆ ไปเป็นการให้เห็นความมืดในจิตใจของคนเท่านั้น คนที่อ่านก็คงไม่ต้องการจะให้อธิบายว่าทำไมฝนจึงตกมาเป็นสีขาว และมันคืออะไร

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

ฟ่าสั่งมาสืบ


คามินากะ, มานาบุ. ฟ้าสั่งมาสืบ. แปลโดย เสาวณีย์ นวรัตน์จำรูญ. กรุงเทพฯ : JBOOK, 2552-2553. 3 เล่ม.


        ผู้เขียนคนเดียวกับเรื่องยาคุโมะ นักสืบวิญญาณ’ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นซีรีส์สืบสวนเช่นกัน แต่เนื้อหาค่อนข้างเคร่งเครียด จริงจัง และบู๊โลดโผนกว่า ยาคุโมะ

เล่มที่ 1 ฝันร้ายพยากรณ์
       เป็นการเปิดตัวฮีโร่คนใหม่คือ ซานาดะ โชโงะ หนุ่มหล่อขั้นเทพผู้มากับดวง บุคลิกยียวนกวนประสาท และเข้าข่ายปากร้ายใจดี และมีอดีตอันเจ็บปวดผลักดันเขาเข้าสู่เส้นทางนักสืบ แต่นิสัยหัวรั้นและรักความถูกต้อง ทำให้งานสืบง่าย ๆ บานปลายเป็นงานช้างเสมอ และนางเอกสาวชื่อ
นากานิชิ ชิโนะ หญิงสาวผู้ใช้ชีวิตบนรถเข็น ทนทุกข์กับการฝันเห็นฉากฆาตกรรมชัดเจนเหมือนถ่ายทอดสด หนำซ้ำเหตุร้ายยังเกิดขึ้นจริงทุกครั้ง เธอจึงเดินหน้าฝืนโชคชะตา จนต้องเข้าไปพัวพันปริศนานองเลือด อันเป็นต้นเหตุแห่งความฝัน ทั้งสองตกลงช่วยกันหยุดยั้งความตายของเหยื่อเคราะห์ร้ายในฝันโดยไม่รู้เลยว่าเหตุบังเอิญทั้งหมดถูกกำหนดด้วยโชคชะตาซึ่งผูกโยงคนทั้งคู่มาแล้วตั้งแต่อดีต
เนื้อเรื่องในตอนนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับขบวนค้ายาเสพติด ของประเทศเกาหลีเหนือ ส่งยาเสพติดมาขายที่ประเทศญี่ปุ่น และผู้ตายที่นางเอกฝันถึงนั้นก็เกี่ยวข้องกับขบวนการนี้ และในที่สุดเมื่อสืบคดีไปกลับพบว่า พ่อของนางเอกถูกบังคับให้เอาบริษัทของตนเป็นตัวแทนส่งขายยาในประเทศญี่ปุ่น โดยมีนางเอกเป็นตัวประกัน และผู้ร้ายในเรื่องก็เป็นคนรับใช้ใกล้ชิดนางเอกนั่นเอง
      ผู้ขียนเล่าเรื่องได้สนุก เนื้อหาตื่นเต้นเร้าใจ การดำเนินเรื่องเร็ว เหมือนดูภาพยนตร์

เล่มที่ 2 ดวงตาเพชฌฆาต
          นางเอกของเรื่องนากานิชิ ชิโนะ ได้เข้าร่วมกลุ่มนักสืบ แฟมิลี ของพระเอกซึ่งมีทั้งหมด 3 คน คือ ซานาดะ โชโงะ ทำหน้าที่ติดตาม ยามางาตะ หัวหน้ากลุ่มนักสืบ และคิมิกะฝ่ายเทคนิค ปลอมตัวและสะกดรอย เมื่อชิโนะเข้ากลุ่มก็ทำหน้าที่เฝ้าดูจอภาพ คอยส่งคลื่นแทรก คอยหาข้อมูลและทำบัญชีเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนร้ายจับตัวประกันแบบมีระเบิดขู่อยู่ในมือ มีตำรวจซุ่มยิง แต่ไม่สามารถยิงคนร้ายได้ ถ้าไม่มีคำสั่ง ซึ่งก็ไม่ค่อยมีคนกล้าสั่ง เพราะจะถือว่าทุกชีวิตมีความสำคัญ ฆ่าคนร้าย คือ ฆ่ามนุษย์ และก็ต้องโดนลงโทษ โดนสังคมประณาม มีความผิด ซึ่งสุดท้ายคนร้ายกดระเบิด ทำให้มีคนตายเป็นเบือ ในที่สุดญาติของกลุ่มเหยื่อคิดวางแผนเพื่อให้วงการตำรวจให้สามารถยิงคนร้ายจับตัวประกันได้ แต่แผนการนั้นจำเป็นต้องฆ่าและจับตัวประกันเหมือนที่คนร้ายทำ ซึ่งกลุ่มพระเอกเรียกว่า เลวพอ ๆ กับการก่อการร้าย เป็นตอนที่ค่อนข้างเสียดสีเรื่องวงการตำรวจของญี่ปุ่น และมุ่งเสนอทัศนคติของคนญี่ปุ่น ที่มักคิดว่าสังคมญี่ปุ่นสงบสุข คงไม่มีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นหรอก ถึงมีก็คงไกลตัว
          เรื่องในตอนนี้จะทำให้ผู้อ่านมีความรู้สึกร่วมด้วยกับกลุ่มคนร้ายที่เป็นญาติของเหยื่อ และมักคิดว่าถ้าเกิดเรื่องกับเราจะทำอย่างนั้นหรือไม่ และค่อนข้างเห็นใจตำรวจเหมือนกัน เพราะเป็นสังคมที่ไม่ให้ตำรวจทำวิสามัญฆาตกรรม อย่างที่บ้านเราชอบทำ

เล่มที่ 3 บาดแผลปีศาจ
         บาดแผลปีศาจชิโนะฝันเห็นผู้ชายใบหูแหว่งเจ้าของรอยยิ้มเย็นเยือกในห้องขังเดี่ยวเป็นครั้งแรกที่เธอสะดุ้งตื่นโดยไม่ได้เห็นวาระสุดท้ายของคนในฝัน ไม่นานนักสำนักงานนักสืบ “แฟมิลี่” รับงานตามสืบพฤติกรรมลูกสาวให้นักธุรกิจ และบุกเข้าช่วยเด็กหญิงไว้ได้ขณะถูกล่อลวงให้ใช้ยาเสพติด ทว่าเมื่อสัมผัสตัวเด็กหญิงชิโนะกลับเห็นภาพนักโทษชายคนเดิมจะฆ่าตัวตายซ้ำร้ายยังต่อด้วยภาพเหตุการณ์ขณะเขาปลิดชีพผู้คุม ขณะเดียวกันมีข่าวแหกคุกของเจ้าพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่เพื่อต้องการแก้แค้นอดีตคนรักกับนายตำรวจผู้จับกุมเขา ซึ่งเป็นคนใกล้ตัวเธอทุกคน
         ตอนนี้ผู้เขียนได้ขียนถึงอดีตของตัวละคร 2 คนคือยามางาตะ ที่เป็นหัวหน้าสำนักงานนักสืบ และคิมิกะผู้ร่วมงาน ว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร ในตอนนี้ยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับขบวนการค้ายาเสพติดที่เป็นภาคต่อจากภาคที่ 1 อ่านสนุกเหมือนเดิม

ซายากะ สาวน้อยนักสืบ




อาคากะวา, จิโร. ซายากะ สาวน้อยนักสืบ. แปลโดย วิภา งามฉันทกร. กรุงเทพฯ : บลิส พับลิชชิ่ง, 2548-2554. 13 เล่ม.
         ติดตามอ่านตั้งแต่เล่มแรกจนถึงเล่มที่ 13 ตอนแรกที่หยิบมาอ่านก็นึกว่าเป็นเรื่องนักสืบทั่ว ๆ ไป เพราะเคยอ่านเรื่องของอาคากะวา จิโรมาแล้วในเรื่องมิเกะเนะโกะ โฮล์มส์ ซึ่งไม่ค่อยประทับใจ แต่เมื่ออ่านจบเล่มแรก ความรู้สึกเปลี่ยนไป ชอบมากเกี่ยวกับเนื้อเรื่องที่ให้ตัวเอกของเรื่องเป็นเด็กนักเรียนมัธยมต้นชื่อ ซายากะ และไม่ได้คิดจะเป็นนักสืบ แต่เหตุการณ์มันพาไปให้ต้องไปพัวพัน ซึ่งในเล่มที่หนึ่งเพื่อนของซายากะถูกฆ่าตายในโรงเรียน แม้ว่าจะเป็นนักเรียนที่โดดเรียนบ่อย แต่ก็ไม่ใช่เด็กเกเร ไป ๆ มา ๆ พบว่าคนที่ฆ่าเพื่อนคือพ่อของเพื่อนเองที่รักลูกสาวของตนเองมาก จนทำเรื่องน่าบัดสี และเมื่อคิดว่าลูกสาวจะไปมีคนอื่น ก็ไม่ยอมจนนำไปสู่การฆ่าลูกของตน ด้วยเรื่องที่ทันสมัย และมีเรื่องขำขันแทรกเป็นระยะ ทำให้ต้องหยิบเล่มที่ 2 และต่อ ๆ ไปมาอ่าน
         นอกจากนี้หนังสือชุด ซายากะ แต่ละเล่มตัวละครจะโตขึ้นหนึ่งปี ตัวละครหลัก ๆ ของเรื่องมีพัฒนาการ อย่างครูประจำชั้นของซายากะ และสารวัตรที่มาสืบสวนในคดีแรก มีความชอบพอกัน เล่มต่อ ๆ ไป ก็พัฒนาสู่การเป็นคนรัก จนในที่สุดก็แต่งงานมีลูกสาวน่ารัก ส่วนตัวซายากะเองก็มีเพื่อนชาย ซึ่งแต่ละตอนก็มีลักษณะที่แม่เพื่อนชายไม่ชอบ คอยกีดกัน หาผู้หญิงอื่นมาแย่ง จนทำให้ห่างเหินกัน และมีผู้ชายคนอื่นมาเป็นแฟนแทน ผู้อ่านจะรู้สึกผูกพัน และลุ้นไปในแต่ละปี นอกเหนือจากเรื่องลึกลับที่ซายากะต้องไปพัวพัน ทำให้ต้องตื่นเต้นอยู่เรื่อย ๆ
          อ่านซายากะเล่มที่ 14 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555 เป็นเล่มล่าสุดของชุดนี้ และได้ทราบข่าวว่า บริษัท บลิส พับลิชชิ่ง ได้ปิดบริษัทไปแล้ว ทำให้การอ่านเรื่องแปลจากประเทศญึ่ปุ่นในหลาย ๆ เรื่องที่กำลัง ติดตามเป็นอันต้องจบด้วย รออนาคตว่าจะมีสำนักพิมพ์อื่น ๆ ที่จะพิมพ์หนังสือแนวญึ่ปุ่นออกมาหรือไม่ ส่วนเรื่องซายากะ ตอนนี้ ไม่ค่อยสนุก เนื้อเรื่องไม่ค่อยหนักแน่น เป็นเหมือนบันทึกชีวิตของซายากะกับผู้คนที่มาเกี่ยวข้องมากกว่า บางเหตุการณ์เช่น ลูกศิษย์ของอาจารย์คินุโกะ ซึ่งเคยเป็นอาจารย์ประจำชั้นของซายากะ มาฆ่าตัวตายที่ห้องเรียน ทำให้อาจารย์คินุโกะถูกใส่ความว่าเป็นคนล่อลวงให้ลูกศิษย์มีปัญหา จนถูกบีบให้ลาออก ในเรื่องก็ไม่ได้ให้เหตุผลว่าลูกศิษย์คนนั้นมีปัญหาอะไร นอกจากนี้ในเรื่องยังมีตัวละครมากเกินไป ทำให้ได้บทไปคนละเล็กละน้อย และหลายเหตุการ์ณก็ค้างเติ่งไม่มีบทสรุป ซึ่งในเล่มก่อน ๆ ทุกเหตุการณ์จะสรุปให้ผู้อ่านเข้าใจ  ทำให้รู้สึกว่าในเรื่องที่ต้างเติ่งนั้นจะไปอยู่เล่มต่อไป
เล่ม 16 ชื่อตอนว่า ไวโอลินสีรุ้ง
(ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้อ่านเมื่อไร)
ต่อเนื่องมาจากวรรคก่อน หนังสือชุดนี้มีสำนักพิมพ์ I'm Book นำมาจัดพิมพ์ใหม่ ดีใจมาก เป็นความคุุ้นเคยเหมือนได้เจอเพื่อนสนิทที่หายไปนาน ตัวละครที่รู้จักมีความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะซายากะที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และมีหน้าที่การงานที่ก้าวหน้า เป็นความรู้สึกที่ดีมาก ๆ เลย ขอบคุณนักแปลที่พยายามหาสำนักพิมพ์เพื่อจัดพิมพ์หนังสือที่ J Book เคยพิมพ์และมีแฟนนักอ่านยังติดตามอยู่ เรียกว่าไม่ทิ้งแฟนคลับอย่างแน่นอน ไม่เหมือนนายทุนที่ตั้งสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ แต่เมื่อไม่กำไรก็ล้มเลิกกิจการไม่สนใจนักอ่านที่กำลังติดตาม

เล่ม 17 ชื่อตอนว่า ทางเดินสีอัสดง
เล่ม 18 ชื่อตอนว่าแก้วกากาแฟสีไข่มุก

0 นาฬิกา : เวลาปาฏิหาริย์



อาคากะวา, จิโร. 0 นาฬิกา เวลาปาฎิหาริย์. แปลโดย เมธินี นุชนาคา. กรุงเทพฯ : สยามอินเตอร์บุ๊คส์, 2552. 215 หน้า. ราคา 185 บาท


           เป็นเรื่องของวิญญาณผู้เสียชีวิตในอุบัติเหตุรถบัสพลิกคว่ำตกทะเลสาบซึ่งส่งข้อความนัดพบถึงคนที่เป็นที่รัก ในเวลา 0 นาฬิกา ที่ท่ารถบัสโดยสาร เพื่อร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้าย แม้จะเป็นเวลาเพียง 1 ชั่วโมง แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจมาก เป็นเรื่องน่าอบอุ่นของนักเขียนอาคากาวะ จิโร ที่เป็นนักเขียนแนวสืบสวน แต่เขียนเรื่องนี้ได้น่าประทับใจมาก
            คนส่วนใหญ่เมื่อคนที่รักจากไป มักจะคิดว่าพวกเขามีอะไรอยากพูดหรืออยากบอกหรือไม่ และถ้าได้กลับมาพูดคุยอีกครั้งคงจะดีไม่น้อย ในเรื่องนี้ก็ให้ความรู้สึกที่ดีนี้กับผู้อ่าน โดยไม่ต้องถามว่า เป็นไปได้อย่างไร และคนตายตั้งมาก แต่ทำไมกลับมาเพียงไม่กี่คน และคนที่รับข้อความทำไมจึงไม่มีความลังเลที่จะมา ทำไม ทำไม เพราะคำถามเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่เรื่องนี้จะตอบ แต่เป็นเรื่องที่เสนอแต่เรื่องที่ว่าเมื่อคนตายที่เป็นที่รักของใครสักคน กลับมาก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี เป็นความรู้สึกน่าตื่นเต้น และไม่ชักช้าที่จะสัมผัส เป็นเรื่องที่คิดกันจริง ๆ ก็ไม่น่าเป็นไปได้ แต่เป็นเรื่องที่คิดว่าเป็นความรู้สึกที่คนเรามักอยากได้
           เป็นเรื่องที่อ่านได้สนุก มีตัวละครมาก แต่ก็ปูพื้นให้ผู้อ่านรู้จักแต่ละคนได้ดี และการดำเนินเรื่องก็ทำได้เร็ว ตามสไตล์นักเขียนท่านนี้ และเมื่ออ่านถึงตอนที่ผู้ตายได้พบกับคนที่รัก ก็รู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วย และบางช่วงก็ต้องหลั่งน้ำตาให้ด้วย

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

มนตร์น้ำหมึก



ฟุงเค่อ, คอร์เนอเลีย. มนตร์น้ำหมึก = Inkspell. แปลโดย วัชรวิชญ์. กรุงเทพฯ : Nanmee Teen Book, 2549. 644 หน้า. ราคา 395 บาท.

         เป็นเล่มที่ 2 ในผลงานไตรภาคเกี่ยวกับการผจญภัยของแม็กกี้ ในเรื่องแรกคือหัวใจน้ำหมึก เป็นเรื่องที่อ่านเอาตัวละครจากหนังสือออกมาอยู่ในโลกปัจจุบัน โดยมีคาปริคอร์นซึ่งเป็นนักวางเพลิงในหนังสือเป็นตัวร้ายของเรื่อง และถูกกำจัดโดยโม พ่อของแม็กกี้ ที่อ่านเอาเงาออกมาฆ่า ส่วนในตอนนี้เป็นเรื่องที่นิ้วฝุ่นตามหาคน ๆ หนึ่งที่ชื่อออร์เฟอุสมาอ่านให้ตัวเองได้กลับไปยังโลกในหนังสือ และขณะเดียวกัน แม็กกี้ก็สามารถอ่านตัวเองเข้าไปในหนังสือได้ด้วย เรื่องทั้งหมดจึงเป็นการเสนอเรื่องเกี่ยวกับโลกที่เฟโนกลิโอแต่ง
         แม็กกี้ได้อ่านหนังสือมีความรู้สึกชวนฝัน อยากไปสัมผัส อยากไปเห็นเหล่าภูต ปราสาท นักแสดงเร่ ป่าไร้หนทาง แต่เมื่อได้ไปสัมผัสจริงกลับรับรู้ว่าเป็นสังคมที่โหดร้าย และเมื่อมอร์โทลาและบาสต้าบังคับพ่อแม่ของเธอให้ถูกอ่านเข้ามาด้วยเพื่อการแก้แค้น ชีวิตทั้งหมดก็ดูอันตรายมากยิ่งขึ้น
         เนื้อหาในเล่มนี้เข้มข้น สนุกสนานมากกว่าเล่มแรก เพราะมีเรื่องราวจินตนาการอยู่มากมาย ผู้อ่านจะรู้สึกตื่นเต้นกับตัวละครเหนือจริง และมีครบทุกอารมณ์ทั้งอารมณ์เศร้า ลึกลับ ตื่นเต้น และเมื่ออ่านไปจะไม่สามารถคาดเดาเนื้อเรื่องได้เลย ต้องติดตามไปอย่างจดจ่อ ตอนใกล้จบของเรื่องนี้ให้นิ้วฝุ่นเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อให้ฟาริดได้ฟื้นคืนชีพ  ทำให้ฟาริดต้องขอร้องให้แม็กกี้อ่านออร์เฟอุสเข้ามาเพื่อมาแต่งเรื่องให้นิ้วฝุ่นฟื้นคืน แต่ออร์เฟอุสเป็นคนนิสัยไม่ดี บังคับให้ฟาริดเป็นคนรับใช้ และฟาริดก็ต้องจำยอม ซึ่งเรื่องราวต่อจากนี้เป็นอย่างไรก็ต้องติดตามอ่านเล่มที่ 3 คือน้ำหมึกมฤตยู

คินดะอิจิ ตอนที่ 21 หญิงผู้ถือพัดจีน




โยโคมิโซะ, เซมิ. คินดะอิจิยอดนักสืบ. ตอนที่ 21, หญิงผู้ถือพัดจีน. แปลโดย บุษบา บรรจงมณี. [กรุงเทพฯ] : JBook, 2553. 239 หน้า. ราคา 185 บาท

เป็นเรื่องที่ 21 ในหนังสือชุดคินดะอิจิ มี 3 เรื่องในเล่ม คือ หญิงผู้ถือพัดจีน การต่อสู้ระหว่างสองหญิง และทะเลสีเลือด

หญิงผู้ถือพัดจีน เป็นเรื่องของหญิงที่ชื่อมินาโกะที่คิดว่าตัวเองสืบเชื้อสายจาก “หญิงผู้ถือพัดจีน” ที่ถูกจับกุมในฐานะฆาตกรที่วางยาพิษสามี และมีอาการละเมอเดินจนถึงกับฆ่าคนในบ้านถึง 2 ศพ ซึ่งเมื่อคินดะอิจิร่วมสืบกับตำรวจ พยานหลักฐานกลับเปลี่ยนไปมัดตัวสามีของมินาโกะแทน ว่าสามีทำรูปภาพ “หญิงผู้ถือพัดจีน” ปลอม และนำมาให้ภรรยาดูเพื่อให้เธอยิ่งเชื่อว่า เธอคือ “หญิงผู้ถือพัดจีน” กลับชาติมาเกิด และเลือดชั่วยังคงไหลเวียนในตัวเธออยู่ เพื่อให้ภรรยาเครียดจัดและให้มีอันเป็นไป จะได้สมบัติของภรรยา แต่แล้วเหตุการณ์กลับพลิกผันว่า มีผู้เห็นเหตุการณ์ตอนเกิดคดีฆาตกรรม และนำมาแบล็กเมล์ จนในที่สุดฆาตกรต้องดำเนินการฆ่าผู้แบล็กเมล์ ซึ่งคินดะอิจิสืบจนพบและได้นำตำรวจไปจับกุมฆาตกรได้ แต่ฆาตกรก็ได้   ฆ่าตัวตายไปก่อนที่จะถูกจับ และเมื่อเปิดเผยหน้าปรากฎว่าเป็นมินาโกะนั่นเอง

การต่อสู้ระหว่างสองหญิง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เมื่ออ่านแล้วจะรู้สึกสบาย ๆ นึกว่าไม่มีเหตุฆาตกรรม เพราะเป็นเรื่องความหึงหวงธรรมดาของผู้หญิง 2 คนที่คนหนึ่งถูกแย่งสามีไป และอีกคนเป็นภรรยาใหม่ มาโคจรพบกัน เหตุการณ์เป็นลักษณะการวางยาพิษ แต่เมื่อเกิดเรื่องแล้ว คินดะอิจิที่อยู่ในเหตุการณ์ช่วยผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกวางยาได้ และนึกว่าเพียงแต่สืบว่าใครเป็นคนวางยาเท่านั้น แต่ในที่สุดก็มีการฆาตกรรมเกิดขึ้น ซึ่งผู้ที่ถูกฆ่าคือสามีที่สองหญิงแย่งกัน แต่เมื่อสืบไปกลับเป็นว่าภรรยาใหม่เป็นคนลงมือ เนื่องจากพบว่าชายที่เธอแย่งมานั้นไม่มีความเก่งตามที่ฝันไว้ และเป็นสามีที่ภรรยาเก่าไม่เอาแล้ว จึงเกิดความแค้นและวางแผนฆ่าสามี และป้ายความผิดให้ภรรยาเก่า

ทะเลสีเลือด เป็นเรื่องที่เกิดในชนบทแห่งหนึ่งที่ผู้คนอยู่กันมานาน แต่มีความแค้นระหว่างตระกูลด้วยกัน เรื่องเกิดขึ้นเมื่อลูกชาย 2 ตระกูลที่มีความแค้นระหว่างกันแย่งผู้หญิงสวยคนเดียวกัน ซึ่งในที่สุดผู้หญิงที่แย่งกันถูกฆ่า เมื่อคินดะอิจิกับตำรวจสืบกันไปพบว่า ผู้ที่ทำให้เกิดเรื่องร้ายกาจคือภรรยาผู้ใหญ่บ้าน ที่หึงหวงเด็กหนุ่มที่เป็นชู้และมารักหญิงสวยคนนั้น แต่ขณะเดียวกันก็ถูกซ้อนแผนด้วยคนอีกคนหนึ่งที่ทำตัวให้คนอื่นเห็นว่าเป็นบ้านั้น และไม่มีผู้สนใจ เนื่องจากต้องการแก้แค้นผู้คนในหมู่บ้านนั้นที่ไม่สนใจตน

         ทั้ง 3 เรื่องมีแก่นเรื่องคือความร้ายกาจของผู้หญิงที่มีสาเหตุมาจากความแค้น ความหึงหวง บางครั้งการเป็นผู้หญิงทำให้ดูว่าอ่อนแอ ไม่มีความแข็งแรง แต่เมื่อผู้หญิงเกิดความคิดที่ต้องการแก้แค้น ก็ไม่มีอะไรมาขัดขวางได้ อ่านได้สนุก จนวางไม่ลง เพราะต้องติดตามว่าฆาตกรคือใคร

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

คินดะอิจิ ตอนที่ 20 ข้างหลังบานประตู

โยโคมิโซะ, เซชิ. คินดะอิจิยอดนักสืบ. ตอนที่ 20, ข้างหลังบานประตู. ชมนาด ศีติสาร, แปล. [กรุงเทพฯ] : JBook, 2553. 295 หน้า. ราคา 225 บาท

         เป็นเรื่องที่ 20 ในหนังสือชุดคินดะอิจิ มี 3 เรื่องในเล่ม คือ ข้างหลังบานประตู ฆาตกรรมชายหาด และ เกาะภาพลวงตา

ข้างหลังบานประตู เป็นเรื่องฆาตกรรมผู้หญิงบาร์คนหนึ่งด้วยปิ่นปักหมวก ซึ่งผู้พบศพเป็นหญิงสาวอีกคนที่ถูกผู้ตายแย่งคนรัก จึงมาว่าจ้างคินดะอิจิสืบหาฆาตกร แต่วันรุ่งขึ้น ศพผู้ตายถูกพบที่แม่น้ำ เมื่อสืบไปพบว่ามีความพัวพันกับคนอีกหลายคน และแต่ละคนก็ยังมีความลับที่เปิดเผยไม่ได้ แต่ในที่สุดคินดะอิจิพบว่า ผู้ตายถูกฆ่าผิดตัว เพราะฆาตกรต้องการฆ่าอีกคนซึ่งเป็นนักเรียนมัธยมต้น แต่ในตอนแรกถูกมองข้ามเพราะนักเรียนมัธยมคนนั้นถูกรถชนตาย

ฆาตกรรมชายหาด อาจารย์ผู้หนึ่งถูกฆ่าด้วยยาพิษที่ทำให้เหมือนหัวใจวาย แต่ลูกศิษย์สาวยืนยันว่าถูกวางยา เนื่องจากอาจารย์สามารถอ่านริมฝีปากคนได้ว่าพูดอะไร และอาจทำให้คนร้ายมาปิดปาก คินดะอิจิอยู่ในเหตุการณ์ด้วย สืบพบว่หลานชายของเพื่อนอาจารย์ที่ถูกฆ่าเป็นฆาตกร เนื่องจากไม่ต้องการให้อามีคู่ครอง เมื่ออาเป็นอะไรไป สมบัติจะเป็นของตนทั้งหมด

เกาะภาพลวงตา ฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมที่ฆาตกรเป็นคนในครอบครัวเดียวกันที่รวมหัวกันฆ่าภรรยาของเศรษฐีซึ่งเคยเป็นอดีตคนรักของลูกชายคนรอง และก่อนตายได้สารภาพเรื่องนี้ให้พ่อแม่ทราบ ดังนั้นครอบครัวนี้จึงวางแผนฆ่าให้ดูเหมือนสามีขี้หึงฆ่าภรรยาของตนเมื่อทราบว่าภรรยาของตนยังคบชายชู้อยู่ การฆาตกรรมอาจเนื่องมาจากการแก้แค้นแทนลูกชายที่ถูกทอดทิ้ง และขณะเดียวกันเมื่อเจ้าของทรัพย์สมบัติถูกจับทรัพย์สมบัติย่อมตกกับครอบครัวนี้ เพราะเป็นญาติกัน

       อ่านได้สนุก มีความตื่นเต้นเร้าใจ และพล็อตเรื่องก็ค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งก็เป็นเสห่ห์ในหน้งสือชุดคินดะอิจิ ผู้อ่านจะคาดเดาว่าฆาตกรคือใคร ซึ่งทำให้การอ่านต้องมีการจับประเด็นน่าสงสัยไปด้วย เพื่อจะได้ทราบว่าฆาตกรที่คาดเดานั้นเป็นจริงหรือไม่ เป็นหนังสือชุดที่ใครเป็นแฟนแล้วต้องติดตามอ่านอย่างต่อเนื่อง

แฮร์รี่ พอตเตอร์




แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต = Harry Potter and the deathly hallows. โรว์ลิ่ง, เจ. เค. แปลโดย สุมาลี. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์, 2550. 696 หน้า. ราคา 495 บาท



สัญญลักษณ์เครื่องรางยมทูต
       เนื่องจากภาพยนตร์ได้นำตอนนี้มาฉายโดยแบ่งออกเป็น 2 ตอน จึงนำหนังสือมาอ่านเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งก็ยังสนุกเหมือนเดิม เพราะมีรายละเอียดมาก ตอนสุดท้ายของชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นเป็นตอนที่พูดถึงรายละเอียดที่ยังไม่ได้กล่าวถึงในตอนต้น ๆ อย่างเช่น ตอนลอร์ดโวเลอร์มอร์บุกบ้านและฆ่าพ่อแม่แฮร์รี่ ซึ่งควรเป็นเรื่องในตอนที่ 1 ประวัติครอบครัวของดัมเบิลดอร์ และประวัติของพ่อมดแม่มดที่ก่อตั้งโรงเรียนฮอกต์วอตต์ และที่สำคัญที่สุดคือการเปิดเผยตัวตนของสเนปที่ดูร้ายกาจกับแฮร์รี่ในทุก ๆ ตอนที่ผ่านมา
       การอ่านหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทุก ๆ ตอนจะรู้สึกเหมือนได้พบกับคนที่รู้จัก เพราะตั้งแต่ตอนแรกที่แฮร์รี่ยังเป็นเด็ก และค่อย ๆ โตเป็นหนุ่มที่มีเรื่องราวการผจญภัย กับเพื่อนรัก 2 คนคือ รอน วีสลี่ย์ และเฮอร์ไมโอนี่ ทำให้ผู้อ่านต้องคอยลุ้นระทึกไปตลอดเวลา และเรื่องราวในจินตนาการที่บรรเจิด เมื่ออ่านถึงตอนจบ ทำให้มีความคิดว่า เจ.เค. โรลลิ่ง นี่สุดยอดจริง ๆ
        แก่นของเรื่องมีสั้น ๆ สรุปได้ว่า คนที่คิดว่าตัวเองเก่ง และอยากจะครอบครองคนทั่วโลก โดยไม่สนใจว่าได้ฆ่าคนไปกี่คน จะไม่สามารถชนะคนที่ยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องคนอื่น ซึ่งแสดงให้เห็นตั้งแต่ตอนที่ 1 ที่แม่ของแฮร์รี่ เอาตัวเองปกป้องลูก จนทำให้ลอร์ดโวเลอร์มอร์สูญเสียร่างกาย และในตอนจบก็แสดงอีกครั้งที่ให้แฮร์รี่ไปเผชิญหน้ากับลอร์ดโวเลอร์มอร์ แต่แล้วสิ่งที่ลอร์ดโวเลอร์มอร์ฆ่าได้คือฮอร์ครักซ์ วิญญาณส่วนที่ 7 ของลอร์ดโวเลอร์มอร์ที่อยู่ในตัวแฮร์รี่ตั้งแต่ตอนที่ 1 ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมแฮร์รี่ล่วงรู้ความคิดของลอร์ดโวเลอร์มอร์
         ตลอดเวลาที่อ่านจะนับฮอร์ครักซ์ว่า ครบ 7 ชิ้นหรือยัง ซึ่่งขอบันทึกไว้ว่า ฮอร์ครักซ์ทั้ง 7 มีดังนี้ ชิ้นแรกคือ บันทึกของทอม ริดเดิ้ล ชิ้นที่ 2 คือแหวนประจำตระกูลกอนน์ ซึ่งเป็นหินเครื่องรางด้วย สามารถเรียกคนที่ตายกลับมาได้ ชิ้นที่ 3 ลอกเก็ต ที่ดัมเบิลดอร์ไปเอากับแฮร์รี่ในตอนที่ 6 ที่ถูกเรกูลัส เบลค เอาไปก่อน ชิ้นที่ 4 ถัวยฮัฟเฟิลพัฟ ชิ้นที่ 5 รัดเกล้าของเรเวนคลอ ชิ้นที่ 6 งูนากินีที่อยู่ใกล้ตัวลอร์ดโวเลอร์มอร์ ชิ้นที่ 7 ในตัวแฮร์รี่

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

พี่น้องสองมิติ

อาคากะวา, จิโร. พี่น้องสองมิติ. แปลจากเรื่อง Futari โดย ฮิโรกะ ลิมวิภูวัฒน์. กรุงเทพฯ : JBOOK, 2551. 236 หน้า. ราคา 185 บาท

          เป็นหนังสือของอาคากาวะ จิโร ที่ไม่ใช่แนวสืบสวน แต่เป็นนิยายแนวปัญหาครอบครัว ที่ให้กำลังใจ
          เนื้อเรื่องว่าด้วยครอบครัวอิตาโอะ ซึ่งตอนแรกมีสมาชิก 4 คน คือ พ่อ แม่ และลูกสาว 2 คน คนโตชื่อ ชิสึโกะ ส่วนคนเล็กชื่อ มิกะ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินเรื่อง เป็นครอบครัวที่มีความสุข แต่แล้วเกิดอุบัติเหตุกับชิสึโกะ จนทำให้เสียชีวิต ซึ่งทำให้ครอบครัวทุกข์ระทม โดยเฉพาะแม่แทบจะล้มป่วย และเมื่อชิสึโกะที่ตายไปมาอยู่ในตัวของมิกะ ทำให้มิกะสามารถฟื้นตัว และช่วยให้ทุกคนฟื้นเป็นปกติ ชีวิตดำเนินต่อไป มิกะได้ขึ้นมัธยม 4 ได้เข้าอยู่ชมรมการละคร ได้รับเลือกให้เล่นละครประจำปีโดยได้รับบทสำคัญ จนเป็นที่อิจฉาของรุ่นพี่ ซึ่งได้โทรศัพท์มาที่บ้าน บอกแม่ของมิกะว่าลูกได้รับอุบัติเหตุ แม่ที่มีจิตใจอ่อนไหวอยู่แล้ว เกิดช็อกขึ้นจนต้องส่งโรงพยาบาล ขณะเดียวกันพ่อถูกบริษัทย้ายไปอยู่ที่ซัปโปโร และยังไปยุ่งกับพนักงานหญิงของบริษัท ซึ่งแม่จับได้ ทำให้อาการป่วยหนัก ไม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ มิกะต้องอยู่บ้านคนเดียว แต่ด้วยมีพี่สาวทำให้มิกะเข้มแข็ง แต่เรื่องของพ่อกลับบานปลาย เพราะพนักงานสาวออกมาพบแม่ เพื่อขอให้พ่อไปอยู่ด้วย และดูเหมือนว่าพ่อจะตัดสินใจไม่ได้ ทำให้มิกะโกรธมากจนคิดจะฆ่าพ่อ และเมื่อชิสึโกะห้าม มิกะก็บอกให้ชิสึโกะไปให้พ้น แต่ในเวลาเดียวกันแม่กลับเข้าใจพ่อและไม่ได้ห้ามพ่อที่จะไป มิกะจึงรู้สึกตัวแต่ชิสึโกะไม่อยู่แล้ว
            เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวที่สามารถเกิดขึ้นกับทุกคนได้ เพียงแต่บางคนก้าวข้ามไปได้ ขณะที่อีกหลายคนพ่ายแพ้ มิกะเป็นตัวแทนของวัยรุ่นที่รู้จักคิด และพยายามทำตัวอย่างมีคุณค่า และตัวพี่ชิสึโกะที่อยู่ในตัวมิกะนั้นก็เป็นความคิดฝ่ายดี ที่มิกะสร้างขึ้นมา เพื่อพยายามผลักดันตัวเองให้มุ่นมั่น
            ผู้แต่งอาคากาวะ จิโร มักจะเขียนตัวละครตัวเอกที่เป็นเด็กวัยรุ่นผู้หญิงได้น่ารัก มีความมุ่งมั่น จัดการกับชีวิตที่วุ่นวายได้ดี พยายามทำทุกอย่างที่เผชิญไม่ว่าดีหรือร้ายอย่างดี ไม่ค่อยตีโพยตีพาย ผู้อ่านจะได้ข้อคิดดี ๆ และเป็นกำลังใจในการดำเนินชีวิตได้

วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ปริศนาหอสมุดอะเล็กซานเดรีย



เบอร์รี, สตีฟ. ปริศนาหอสมุดอะเล็กซานเดรีย = The Alexandria Link. ศศมาภา, แปล. กรุงเทพฯ : แพรวสำนักพิมพ์, 2551. 456 หน้า. ราคา349 บาท.
      เป็นการผจญภัยตอนใหม่ของคอตตอน มาโลน อดีตสายลับแห่งหน่วยมาเจลแลน บิลเล็ต ผู้ผันตัวเองไปเป็นเจ้าของร้านขายหนังสือในกรุงโคเปนเฮเกน ตอนนี้เป็นตอนที่ถูกบังคับให้ออกผจญภัยเนื่องจากลูกชายของเขาคือ แกรี่ ถูกลักพาตัวโดยกลุ่มบุคคลที่ต้องการให้มาโลนออกตามหา "อะเล็กซานเดรียลิงค์" ความลับสำคัญสุดยอดที่จะพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์โลก ซึ่งมีเขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าอยู่ที่ไหนมาโลนต้องออกตามหาและช่วยเหลือลูกชายในการผจญภัยที่เกี่ยวข้องกับการไขปริศนา เพื่อนำไปสู่สถานที่ในตำนานโบราณที่หายสาบสูญไปนานกว่าสองพันปี นั่นคือหอสมุดแห่งอะเล็กซานเดรีย พร้อมกับแพม มาโลน อดีตภรรยา นอกจากนี้ยังมีเพื่อน ๆ ที่เคยร่วมผจญภัยด้วย ไม่ว่าจะเป็นเฮนริก ธอร์วัลด์เซ่น, คาสสิโอเปีย วิตต์ หรือสเตฟานี เนลล์
         เป็นตอนที่อ่านสนุก ตัวละครที่สำคัญจะอยู่ตามที่ต่าง ๆ ไม่ได้พบหน้ากัน แต่ทั้งหมดคือเรื่องเดียวกัน คือ การตามหาหอสมุดอะเล็กซานเดรีย ผู้เขียนเขียนถึงหอสมุดอย่างมีจินตนาการว่าซ่อนอยู่ที่แหลมไซนาย ซึ่งกว่าที่มาโลนจะค้นหาได้ต้องขบคิดคำปริศนาให้ได้เพื่อเป็นเส้นทางนำไปสู่หอสมุด นอกจากนี้เมื่อไปถึงหอสมุดแล้วยังให้เห็นว่า ผู้ที่ดูแลหอสมุดดำเนินชีวิตอย่างไรในพื้นที่ที่เก็บเป็นความลับมาถึง 2000 ปีได้อย่างไร หอสมุดอะเล็กซานเดรียมีความสำคัญมากเนื่องจากเก็บพระคัมภีร์เดิมที่เป็นต้นฉบับภาษาฮีบรูโบราณ ที่เป็นภาษาตายแล้ว และจะช่วยไขปมปริศนาว่าพระคัมภีร์เดิมนั้นเขียนอย่างถูกต้องหรือไม่ โดยในเรื่องพยายามเสนอประเด็นว่าพระคัมภีร์เดิมของศาสนาคริสต์นั้น ถูกดัดแปลงเพื่อผลการเผยแผ่ศาสนาในยุคต้น ๆ ถ้าต้นฉบับถูกเปิดเผยจะมีผลกระทบกับศาสนาสำคัญถึง 3 ศาสนา คือศาสนาคริสต์ ยิว และศาสนาอิสลามและกระทบกับประเทศสำคัญถึง 3 ประเทศคือประเทศอิสราเอล ปาเลสไตน์ และซาอุดิอาระเบีย
         เนื้อเรื่องมีทั้งเรื่องจริงและเรื่องจินตนาการ ตื่นเต้น ดำเนินเรื่องเร็ว ชวนติดตามเรื่องราวอย่างยิ่ง อ่านสนุกไม่แพ้เรื่องล่าสุสานอะเล็กซานเดอร์
 
ภาพผู้แต่ง

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

ยาคุโมะ นักสืบวิญญาณ ตอนที่ 4

คามินากะ, มานาบุ. ยาคุโมะ นักสืบวิญญาณ. ตอนที่ 4, ก่อนหัวใจจะดับสูญ. แปลโดย นภสิริ เวชศาสตร์. กรุงเทพฯ : JBOOK, 2553. 264 หน้า. 225 บาท.

            ในตอนนี้ยาคุโมะ หนุ่มจอมยียวนผู้มีนัยน์ตาซ้ายสีเพลิงต้องช่วยฮารุกะที่นำปัญหาในโรงเรียนประถมที่เธอฝึกสอนมาให้แก้ เนื่องจากลูกศิษย์ตัวน้อยคนหนึ่งไม่ยอมสุงสิงกับใคร ซ้ำยังบอกว่าตัวเองถูกสาป แถมมีอาจารย์หนุ่มบอกว่าเคยเห็นวิญญาณแถวสระว่ายน้ำกลางดึกซึ่งน่าจะโยงใยกับเหตุเพลิงไหม้คร่าชีวิตนักเรียนในอดีต แต่เมื่อยาคุโมะไปที่โรงเรียนก็ได้ไปพบศพนิรนามถูกไฟคลอกจนไม่เหลือแม้เถ้ากระดูก ทิ้งไว้แต่มือซ้ายปริศนาตกอยู่ข้างกัน และนายตำรวจซึ่งรุดมาดูเหตุการณ์ยังเป็นโกะโตกับอิชิอิ งานนี้จึงต้องช่วยกันคลี่คลายคดี
           เป็นตอนที่ไม่สามารถคาดเดาตอนจบได้ เพราะจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ทั้งหมดมันเกี่ยวพันกับเหตุไฟไหม้ในอดีตที่มีนักเรียนตายคนหนึ่ง และมีอีกคนรอดชีวิต แต่หน้าเสียโฉมครึ่งหนึ่ง ทั้ง 2 คนมีพ่อคนเดียวกัน แต่คนที่ตายมีชีวิตสุขสบาย ขณะที่คนที่รอดชีวิตถูกแม่เกลียดและมักทำร้ายร่างกายตลอด เมื่อมีโอกาสจึงอ้างชื่อของคนที่ตาย ว่าเป็นตนเอง โดยมีพ่อของผู้ตายยอมรับ เนื่องจากพ่อตาที่ร่ำรวยไม่ยอมยกมรดกให้ ถ้าหลายชายตาย และเมื่อเวลาผ่านไป 28 ปี พ่อที่เคยร่วมทำผิดจะยอมสารภาพ แต่ลูกชายที่เสียโฉมกลับไม่ยอม และฆ่าพ่อของตน แล้ววางแผนให้ตัวเองกลายเป็นศพที่ถูกเผาจนไม่เหลือเถ้ากระดูก ทั้งที่ความจริงเป็นคนอื่น เพื่อจะได้สวมรอยคนตายนั้นอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ได้ใช้ความไร้เดียงสาของเด็กชายตัวน้อยที่เป็นลูกศิษย์ของฮารุกะมาช่วยกระทำความชั่ว หลอกให้เอายานอนหลับให้พ่อกิน เมื่อนอนหลับก็นำไปเผาจนไม่เหลือเถ้ากระดูก แต่เด็กชายไม่รู้คิดว่าตัวเองฆ่าพ่อ ทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองถูกสาป เมื่อแตะต้องใครคนนั้นจะต้องตาย
            ตอนนี้ได้เปิดตัวละครตัวใหม่อีกตัว ซึ่งตอนแรกคิดว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของผู้ร้าย ซึ่งอาจเป็นคนรักก็ได้ แต่ในตอนจบก็ปิดท้ายว่าเป็นพี่สาวของยาคุโมะ ที่มีความร้ายกาจเหมือนพ่อ และอยากลองดีกับยาคุโบะ ซึ่งเป็นการวางเรื่องตอนต่อ ๆ ไปว่า ต้องสนุกแน่นอน เพราะทั้งพ่อและพี่ก็เป็นจอมวางแผนที่ร้ายกาจเอาเรื่อง แล้วยาคุโบะจะทำอย่างไร ทำให้ต้องติดตามอ่าน"ยาคุโมะ นักสืบวิญญาณ" ต่อไป
            ยาคุโมะ มีการนำไปสร้างเป็นละครทีวี ละครเวที และหนังการ์ตูนด้วย