วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

พลิกกฎล่า

ซิลวา, แดเนียล.  พลิกกฎล่า =  Moscow rules.   ไพบูลย์ สุทธิ, แปล.  กรุงเทพฯ : ไครม์แอนด์มิสทรี, 2554.  390 หน้า.  268  บาท.

         เรื่องราวในตอนนี้เปลี่ยนจากโลกอาหรับไปสู่ประเทศรัสเซียใหม่ ที่กำลังเปลี่ยนจากประเทศคอมมิวนิสต์พัฒนาสู่ประเทศประชาธิปไตย เริ่มเรื่องด้วยความตายของนักข่าวชาวรัสเซียคนหนึ่ง ที่มีความลับเกี่ยวกับนักค้าอาวุธชาวรัสเซียคนหนึ่ง ต่อมานักข่าวชาวรัสเซียอีกคนก็ติดต่อมาว่าต้องการพบเกเบรียล อัลลอน เท่านั้น เพื่อบอกความลับให้ แต่ไม่ทันใดนักข่าวคนนั้นก็ถูกฆ่าต่อหน้าทีมงานของเกเบรียล อัลลอน และเมื่อสืบสวนมากขึ้นทำให้ทราบว่านักค้าอาวุธชาวรัสเซียคนนั้นเป็นอดีตเคจีบีที่เบื้องหลังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลรัสเซีย และเป็นผู้มีอิทธิพล กำลังค้าอาวุธร้ายแรง และไม่สนใจว่าจะขายให้ใคร แม้จะขายต่อให้อัลกออิลดะห์ที่จะเป็นอันตรายต่อโลกเสรี ทำให้องค์กรของเกเบรียล ต้องร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส วางแผนการอย่างรอบคอบและยอมเสี่ยงเข้าประเทศรัสเซียเพื่อไปหาแหล่งข่าวคนสำคัญ ซึ่งก็คือภรรยาของนักค้าอาวุธคนนั้นเอง เพื่อหยุดยั้งการค้าอาวุธครั้งนี้ให้ได้ ซึ่งในที่สุดก็ยับยั้งการขายอาวุธร้ายแรงนั้นได้ แต่กาเบรียลก็บาดเจ็บสาหัสปางตาย
          อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่าเกเบรียลไม่เก่งเหมือนตอนอื่น ๆ ที่พบกับพวกอาหรับ ถูกจับได้ถึง 2 ครั้ง และรอด  มาได้ด้วยความบังเอิญ เพราะมีคนในองค์กรเอฟเอสบี (หน่วยงานที่ทำหน้าที่เหมือนซีไอเอของอเมริกา) แปรพักตร์ คอยช่วยเหลืออยู่ ทำให้เห็นว่า พวกสายลับรัสเซียเก่งกว่าของอิสราเอลมาก และเมื่อแผนการที่วางไว้เกิดผิดพลาด ตัวเกเบรียลก็ดุ่ม ๆ จะไปช่วยเหลือภรรยานักค้าอาวุธ โดยไม่มีการวางแผนเผื่อหนีไว้อีกทาง เหมือนไปตายเอาดาบหน้า ซึ่งไม่ใช่บุคลิกของเกเบรียล เลย และก็จบลงด้วยนักค้าอาวุธคนนั้นก็อยู่ได้ต่อไปอย่างสบายในประเทศรัสเซีย ผิดกับตอนอื่น ๆ ที่องค์กรหรือตัวเกเบรียลจะไปจัดการกับตัวการใหญ่ อ่านแล้วรู้สึกว่าตัวเกเบรียลแก่ไปถนัดใจ ไม่น่าจะสู้กับใครได้อีกแล้ว แต่การดำเนินเรื่องก็ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าจะมีตอนต่อไปอีก เพราะตัวการใหญ่ยังคงมีอิทธิพล และอาจวางแผนแก้แค้นอยู่


แดเนียล ซิลวา ผู้แต่ง
          อย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่องโดยรวมก็ยังอ่านสนุก มีลุ้นระทึกตลอดว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ การดำเนินเรื่องเร็ว มีการสลับฉากต่าง ๆ ในเวลาเดียวกัน เหมือนดูหนังสายลับที่สนุก ๆ อ่านแล้ววางไม่ลงจริง ๆ 


วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การรับจำนำข้าว


เปรียบเทียบโครงการประกันราคาข้าว กับการรับจำนำ
โครงการประกันราคา
โครงการประกันราคา เป็นโครงการที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เพื่อแก้ปัญหาการคอรัปชันจากการรับจำนำจากรัฐบาลชุดก่อน เพื่อเป็นการประกันว่า
เกษตรกรจะขายข้าวได้ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท และอาจจะปรับขึ้นในปีต่อไป
ข้อดี

- เป็นการประกันว่าชาวนาจะขายข้าว ได้ไม่ต่ำกว่าหมื่นบาท (และจะปรับขึ้น ในปีต่อไป) แม้ว่าราคาข้าวในท้องตลาดจะเป็นเท่าไรทางรัฐจะชดเชยส่วนที่ขาดหายไปให้
- จำนวนเกษตรกรจะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้มากกว่า
- ราคาข้าวจะเป็นไปตามกลไกตลาดไม่มีการบิดเบือน
- ปัญหาทุจริตคอรัปชันจากเจ้าหน้าที่รัฐมีน้อยมากเพราะเงินสู่มือชาวนาโดยตรงผ่านธนาคาร ธ.ก.ส.
- แม้เกิดภัยพิบัติจากน้าท่วม,ศัตรูพืช ระบาดชาวนาก็จะยังได้ส่วนต่างแม้ไม่มีผลผลิต

ข้อเสีย

- รัฐต้องจ่ายเงินไปสู่เกษตรโดยตรง ทำให้รัฐต้องจ่ายเงินเพื่อการนี้เป็นจำนวนมากโดยไม่ได้อะไรกลับมา 
- มีการแจ้งการทำนาที่เป็นเท็จ เช่นทำนา 10 ไร่บอกว่า 20 ไร่ แม้จะมีประชาคมแต่บ้างครั้งต่างก็เกรงใจกันไม่กล้าคัดค้านหรืออาจเนื่องจากต่างคนต่างแจ้งเท็จด้วยกัน เรื่องนี้มีบ่นกัน มาก
- ทำให้ราคาข้าวไม่ขึ้นเกินหนึ่งหมื่นบาทเพราะพ่อค้ารับซื้อรู้ว่ารัฐจ่ายส่วนต่างให้เกษตรแล้วเหมือน
รัฐกดราคาข้าวไม่ให้เกินหนึ่งหมื่นบาท
- การจ่ายเงินส่วนต่างจะจ่ายให้แค่25 ตัน ถ้าใครได้เกินกว่า 25 ตัน ไม่ได้รับส่วนต่าง
- คิดให้ผลผลิตข้าวที่ 500 กก. ต่อไร่ ถ้าใครทำได้มากกว่านั้นก็ไม่ได้

โครงการรับจำนำ
โครงการรับจำนำข้าว เป็นโครงการที่เกิดขึ้นในสมัยพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล และมาหยุดโครงการดังกล่าวในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า มีช่องโหวในเรื่องของการคอรัปชัน ในขณะที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ก้าวเข้ามาครั้งนี้ จึงนำนโยบายดังกล่าวกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง
ข้อดี

- จากการประกาศจำนำราคาข้าวที่ 15,000 บาท ชาวนาจะได้รับเงิน 15,000 เลย (กรณีข้าวมีความชื้นที่15 เปอร์เซนต์) ซึ่งเป็นเงินสด
- ชาวนา มีข้าวเท่าไรก็ขายได้ตามจำนวนผลผลิตที่ได้ เช่น หากทำนา มีข้าว 10 ตัน ก็ได้ทั้ง 10 ตัน เป็นเงิน 150,000 บาท
-ชาวนาจะได้รับเป็นเงินสดทันทีเมื่อขายข้าว
- จะทำให้ราคาข้าวในท้องตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากถ้าพ่อค้าไม่รับซื้อในราคาสูงก็ไม่มีข้าวขายเพราะรัฐจะซื้อเองหมด
- รัฐบาลสามารถควบคุมราคาซื้อ-ขายข้าวได้ (ในการส่งออกและบริโภคภาย ในประเทศ)

ข้อเสีย
  
- จากอดีตที่ผ่านมามีการคอรัปชันสูง ทำให้รัฐต้องขาดทุนปีละหลายหมื่น ล้าน
- รัฐอาจต้องสร้างโกดังไว้เก็บข้าวเอง จำนวนมาก
- เป็นการ บิดเบือนกลไกตลาดทำให้ รัฐต้องใช้เงินจำนวนมากไปซื้อข้าวซึ่งรัฐไม่น่าจะมีเงินมากมาซื้อข้าวชาวนาได้ทั้งหมดในกรณีที่พ่อค้าไม่รับซื้อข้าวแข่ง
- รัฐต้องเสียเงินจำนวนไม่น้อยในการสต๊อกข้าวและรักษาคุณภาพข้าวจำนวนมากถ้าขายข้าวไม่ได้
- อาจมีข้าวจากต่างประเทศเข้ามาสวมสิทธิ์

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ในคอลัมน์ เปลว สีเงิน ได้กล่าวถึง น.ส. ยิ่งลักษณ์ ได้น่าสนใจ ตรงกับใจมาก ดังนี้
    พูดไม่เพราะ เสียงไม่หวาน ไม่เป็นไร แต่เป็นนายกฯ พูดแล้ว แต่ละเรื่อง-แต่ละคำกลวงโบ๋ โชว์ความเวิ้งว้างในช่องกะโหลกนี่ซี นอกจากทำให้หมดราคาแล้ว พลอยทำให้ตำแหน่งนายกฯ ไทย "เสียราคา" ไปด้วย!
    ในขณะที่ "พม่า" ขึ้นหน้า-ขึ้นตา เกรียวกราวกระฉ่อนโลกด้วย "กึ๋นสตรี" อย่างนางอองซาน ซูจี  ทุกครั้งที่ปรากฏตัวบนเวทีโลก ทั้งที่ไม่มีตำแหน่งทางการเมืองใหญ่โต
    พลันเมื่อเธอพูด ด้วยความเป็น "อองซาน ซูจี" คนฟังทั้งห้องเป็นต้องลุกขึ้นยืน พร้อมตบมือกึกก้องยาวนาน ด้วยประทับใจและให้เกียรติ ทำให้ชาวพม่าในต่างบ้าน-ต่างเมืองพลอยมีหน้า-มีตาไปด้วย
    ตรงข้ามกับ "กึ๋นสตรี" อย่างนางสาวยิ่งลักษณ์ มีตำแหน่งใหญ่โต เป็นถึงนายกรัฐมนตรีประเทศหนึ่ง ถึงอ่านโพยก็ไม่ผิดแปลกตรงไหน แต่แม่คุณอ่านครั้งใด ไม่ว่าภาษาไทยหรือภาษาเทศ คนฟังต้องกลั้นหายใจ อ่านผิดได้-ผิดดี มีที่คนฟังตีมือบ้างเหมือนกัน
    แต่ไม่ใช่ตีเพราะประทับใจ หากแต่ตีเพราะขำจนกลั้นไม่ไหว
    นายกฯ ไทย "โชว์ตลกโลก" ทุกเวที!
    แทนที่จะอายบ้าง กลับไม่รู้สึก แถมชอบเหมาเรือบินยกลำไปประเทศโน้น-ประเทศนี้ประจำ ถ้าคิดว่า วิธีนี้คือวิธี "หนีประชุมสภาฯ" ที่เนียนและสนุกที่สุด ก็แล้วไป
    จะไปพูด ไปอ่านโพยอะไรก็อ่านไปเถอะ ขออย่างเดียว อย่าเที่ยวไปคุยทำนองว่า จะเป็นตัวกลางช่วยไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทเกาะเตียวหยูระหว่างจีนกับญี่ปุ่นเข้าเชียว
    ถึงนายกฯ ที่สวย เพียบพูนด้วยเสน่ห์ และแสนฉลาด ไม่รู้สึกไม่อาย แต่คนไทย "หน้ามุดดิน" กันทั้งประเทศไปหมดแล้ว รู้มั้ย?!"

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สมุดขบ


ประภาส ชลศรานนท์.  สมุดขบ. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : เวิร์คพอยท์,  2550.  [320] หน้า. 170 บาท
สมุดเล่มเล็ก ๆ ที่ใส่ข้อคิดของประภาสไว้ มีคำแปลภาษาอังกฤษด้วย การจัดรูปเล่มก็แปลกตา คือมีข้อคิดทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และมีกระดาษเปล่าไว้หลาย ๆ หน้า คงเตรียมให้ผู้อ่านจดโน้ตความคิดเห็นหรือบันทึกของผู้อ่านไว้ การอ่านนั้นต้องอ่านแล้วขบคิดตามชื่อเรื่อง จึงจะเกิดผลกับจิตใจความคิดของตนเอง ไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่ แต่กับความคิดของผู้ที่อ่านเป็นสิ่งสนับสนุนแนวทางการดำเนินชีวิตที่ดีได้อย่างมาก
ข้อคิดที่ตรงกับใจตัวเองมีดังนี้
1. สงครามของมนุษย์ชาติก็เกิดจากไม้บรรทัดคนละอันทั้งนั้น
2. บางทีคนเราก็มองเป้าหมายของชีวิตเป็นรูปธรรมมาก จนละเลยความสุขและความฝันที่อยู่ระหว่างทาง
3. ทุกศาสนาในโลกใบนี้คือศาสนาเดียวกัน สั่งสอนสิ่งเดียวกันด้วยกฏง่าย ๆ ไม่กี่ข้อ ... ความรักและความอาทรนั่นเอง
4. เด็กทุกคนเป็นเหมือนผ้าขาว แต่เป็นผ้าขาวคนละเนื้อ แต่ละคนซึมซับสีสันที่เราแต่งแต้มลงไปได้ไม่เหมือนกัน เรียนรู้ได้ไม่เท่ากัน เก่งได้ไม่เท่ากัน ตามลักษณะของเนื้อผ้า แต่ทุกคนเป็นคนดีได้เท่ากัน
5. คนเราไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง แล้วจะหาความภูมิใจจากที่ไหนได้
6. ความเหมือนกันอย่างหนึ่งของคนที่ล้มเหลวและไม่ไปไหนสักทีก็คือทัศนคติที่คับแคบ
7. กังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นนี่ถ้าเป็นมาก ๆ ก็เหมือนมีความต้านทานที่มีค่าสูง ๆ นั่นแหละ ใส่เข้าไปในวงจรมาก ๆ หลอดไฟมันจะไม่สว่างเอา
8. สองสิ่งที่เราควรให้ค่ากับมันมากที่สุดก็คือ ความสงบร่มรื่นในชีวิตกับความภาคภูมิใจที่ตัวเองมีประโยชน์กับคนอื่น


ประภาส ชลศรานนท์

รหัสลับสาสต์ซัปเปอร์


เซียร์รา, ฆาเวียร์.  รหัสลับลาสต์ซัปเปอร์  = The secret supper.  นาลันทา คุปต์ : แปล.  กรุงเทพฯ : แพรว, 2549. 279 หน้า.  ราคา 229 บาท.
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสืบสวนทางด้านศาสนาที่เกิดในปี ค.ศ. 1497 ซึ่งเป็นขณะที่เลโอนาร์โด ดาวินชี่ กำลังวาดภาพผลงานชิ้นเอก “The Last Supper” อยู่ที่อารามในนครมิลาน ขณะเดียวกันก็มีจดหมายลึกลับ ซึ่งเป็นคำกลอนเจ็ดบรรทัด ส่งไปให้หน่วยสืบราชการลับของวาติกัน ทำนองกล่าวหาว่าเลโอนาร์โดวาดเรื่องราวนอกศาสนาลงไปในภาพ“The Last Supper” คุณพ่ออะกอสติโน เลย์เร นักไขรหัสมือหนึ่งจึงถูกส่งตัวไปเพื่อพิสูจน์ความจริงพร้อมกับหาตัวผู้ส่งจดหมายลึกลับที่ ผู้ส่งใช้ฉายาว่า ผู้หยั่งรู้คุณพ่ออะกอสติโนได้รับความช่วยเหลือจาก คุณพ่อบรรณารักษ์ประจำอาราม แต่บรรณารักษ์ผู้นั้นกลับถูกสังหาร เลโอนาร์โดจึงได้เสนอตัวเข้ามาไขปริศนาการตายนี้ แต่ตัวเขาเองก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปพร้อมกันด้วย และคุณพ่ออะกอสติโนได้รู้ว่าคุณพ่อบรรณารักษ์ที่ตายนั้นไม่ได้สะอาดอย่างที่คิด แต่เป็นคนกลางในการเจรจาซื้อขายของเก่าอย่างลับๆ และก่อนตายเขากำลังเจรจาเพื่อจัดหาหนังสือโบราณเล่มหนึ่งอยู่ เรื่องยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีกเมื่อผู้แสวงบุญคนนั้นตายอยู่เบื้องหน้าภาพวาดฝีมือเลโอนาร์โด ดาวินชี่ และเจ้าของคนสุดท้ายของหนังสือมรณะเล่มนั้นคือ เลโอนาร์โด ดาวินชี่นั้นเอง
แต่ในที่สุดคุณพ่ออะกอสติโนก็ถูกลักพาตัวไปโดยกลุ่มคาธาร์ ที่รับว่าเป็นสาวกที่แท้จริงของพระคริสต์ ผ่านทางมารี มักดาเลน ซึ่งในพระคัมภีร์ได้ระบุว่าเป็นหนึ่งในประจักษ์พยานที่อยู่ในเหตุการณ์วันที่พระเยซูทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนจนสิ้นพระชนม์ โดยเธออยู่กับพระเยซูจนกระทั่งพระศพถูกอันเชิญไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์ซึ่งเจาะไว้ในศิลา และเธอเป็นคนแรกที่ได้เห็นการฟื้นคืนชีพของพระเยซูในอีก 3 วันถัดมา และเป็นผู้นำสารเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพของพระองค์ไปบอกกับเหล่าสาวกคนอื่นๆ แต่ในเรื่องได้ดัดแปลงเรื่องในพระคัมภีร์ว่า มารี มักดาเลน ได้เห็นพระคริสต์ที่มีชีวิตที่เป็นแสงบริสุทธิ์ ไม่ใช่ในร่างที่รู้ตาย และนางได้ขโมยซากร่างของพระองค์ไปซ่อนไว้ในบ้าน ที่ซึ่งนางได้บรรจงอาบยาเป็นอย่างดีและพาไปฝรั่งเศสด้วยเมื่อมีการตามล่าเกิดขึ้น และเลโอนาร์โด ดาวินชี่ ก็เป็นสมาชิกกลุ่มนี้ด้วย และช่วยให้คุณพ่ออะกอสติโนไขความลับเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมได้ เรื่องจบลงด้วยการที่คุณพ่ออะกอสติโนยังเก็บความลับของกลุ่มคาธาร์ไว้ไม่ให้ศาสนาจักรรู้ และตัวเองก็ออกตามหาพระวรสารโบราณของศาสนจักรแห่งยอห์นที่กลุ่มคาธาร์เชื่อถือ จนกระทั่งเสียชีวิตในถ้ำแห่งหนึ่ง
เรื่องราวค่อนข้างเข้าใจยาก เพราะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาและตลอดทั้งเรื่องก็มีการถอดรหัสภาษาละติน ภาษากรีก อ่านได้ลำบาก แต่ในเรื่องภาพ “The Last Supper” ทำให้ผู้อ่านมีความเข้าใจมากขึ้น ยิ่งเมื่ออ่านถึงการบรรยายภาพ และมีภาพมาประกอบด้วยแล้วจะอ่านได้สนุกมาก ทำให้สงสัยว่า ตอนวาดภาพเลโอนาร์โด ดาวินชี่ คิดอย่างนั้นจริง ๆ หรือ
ความรู้เกี่ยวกับภาพ “The Last Supper” คือ ภาพเขียนบนฝาผนังซึ่งถ่ายทอดเหตุการณ์ที่พระเยซูกินอาหารร่วมโต๊ะกับสาวก 12 คน ก่อนจะถูกตรึงกางเขน วาดในปี 1495 ใช้เวลาถึง 3 ปีจึงจะเสร็จสมบูรณ์ จุดเด่นของภาพคือตรงกลางเป็นรูปพระเยซูที่ผายมือออกทั้ง 2 ข้าง เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าพอดี โดยมีโต๊ะยาวตลอดภาพเป็นเส้นแนวนอน โครงสร้างห้องกระจายออกจากกึ่งกลางภาพ ช่วยนำสายตาสู่จุดศูนย์กลางคือพระเยซู ที่ใส่เสื้อสีโดดเด่นจากคนอื่น นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบย่อยในรูปโดยจัดศิษย์ของพระเยซู 12 คนออกเป็น 4 กลุ่ม แต่ละคนมีท่าทางไม่เหมือนกัน
ในเรื่องนี้ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับภาพนี้ว่า เมื่อดูภาพจะต้องเริ่มจากทางซ้ายมือของเราโดยมีลำดับดังนี้  (หน้า 220)
1. บาร์โธโลมิวคือ มิราบิส ท่านผู้มีปาฏิหาริย์ เลโอนาร์โดวาดให้ท่านมีผมหยิกสีแดงตามที่ยาโคบุส เดโวรากิเน เขียนไว้ใน เดอะโกลเด้นเลเจนด์ ว่าท่านเป็นชาวซีเรียและมีอารมณ์ร้อน
2.  เจมส์องค์เล็กคือ เวนุสตุส เปี่ยมหรรษาทานพระสาวกที่ผู้คนมักจะจำสับสนกับพระคริสต์ 3.
3. อันดรูว์คือ เตมเปราตอร์ ท่านผู้ป้องกันแสดงให้ปรากฎด้วยมือกางอ้าอยู่เบื้องหน้าตามที่ควรจะเป็นสำหรับคุณธรรมของท่าน 4.
4. ยูดาส อิสคาริโอทคือ เนฟันดุส ผู้ชั่วช้าสาธารณ์แต่ตำแหน่งออกจะคลุมเครือ แม้ยูดาสจะเป็นศีรษะที่สี่จากทางซ้าย แต่ตำแหน่งประหลาดของนักบุญเปโตรที่มีมีดซ่อนไว้หลังผู้ทรยศอาจจะทำให้นับพลาดได้ 
5. ซีโมนเปโตร ผู้ที่ชะโงกเข้ามากลางภาพนั้นได้รับฉายาว่า เอโซซัส ท่านผู้ชิงชังเป็นชายผมขาวนัยน์ตาดุดัน กำลังจะทำการแก้แค้นด้วยมีดสั้นที่ดูน่ากลัว
6. จากนั้นก็เป็นยอห์นที่กำลังหลับ เอียงศีรษะและมือประสานกันเหมือนเหล่าสตรี ในคำว่า มิสติคุส ท่านผู้รู้สิ่งลึกลับ
7. พระเยซูอยู่ตรงกลาง
8. โธมัสที่ยกนิ้วอยู่เสมือนชี้ว่าใครในหมู่ผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้นจะได้รับสิทธิ์ในชีวิตนิรันดร์คือ ลิตาตอร์ ท่านผู้ยังความสงบแก่เทพ
9.  เจมส์องค์ใหญ่คือ โอโบเอดิเอนส์ ท่านผู้เชื่อฟังเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกับยอห์น
10.  ฟิลิปคือ ซาปิเอนส์ ท่านผู้รักสิ่งสูงส่ง เป็นเพียงคนเดียวที่ชี้ที่ตัวเอง
11.  มัทธิว มีชื่อที่หมายถึง ท่านผู้อุตสาหะ
12.  ธัดเดอัสคือ โอเมก้า และ
13.    ซีโมนคือ คอนเฟคตอร์ ท่านผู้กระทำให้สมบูรณ์
ทำให้การดูภาพสนุกมากขึ้น                                                         

 มาเวียร์ เซียร์รา