วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

ศพที่ห้า


แมนเคล, เฮนนิง.  ศพที่ห้า =  The fifth woman.  กานต์สิริ โรจนสุวรรณ, แปล.  พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ :  ไครม์แอนด์มิสทรี,  2554. 497 หน้า ราคา 285 บาท.

      เป็นเรื่องเกี่ยวกับหญิงคนหนึ่งเมื่อรู้ว่าแม่ตัวเองถูกฆ่าตายที่แอฟริกาพร้อมแม่ชี 4 คน จึงเริ่มวางแผนฆาตกรรมจากบัญชีเหยื่อในมือโดยได้ฆ่าไป 3 ราย ซึ่ง สารวัตรเคิร์ต วัลลันเดอร์และทีมสืบสวน ต้องสืบหาความเกี่ยวข้องของเหยื่อแต่ละคน ซึ่งพบว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย ยกเว้นแต่เหยื่อเป็นผู้ชายที่มีประวัติทำร้ายหรือทารุณผู้หญิงหรือภรรยาของตน อีกทั้งตัวฆาตกรก็พยายามอำพรางตัวเองให้ทีมสืบสวนหลงคิดว่าเป็นผู้ชาย แต่ในที่สุดได้เบาะแสจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ไปคลอดลูกที่โรงพยาบาล จนพบตัวฆาตกรที่ทำงานเป็นผู้ตรวจตั๋วรถไฟ สาเหตุการฆ่าคือ เพราะเธอเคยทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาล เคยรักษาผู้บาดเจ็บสาหัสจากการถูกทำร้ายจากคนใกล้ชิด นอกจากนี้ในวัยเด็กเคยเห็นแม่ตัวเองถูกทำร้ายจากสามีใหม่ ซ้ำยังถูกบังคับให้ทำแท้งลูกตัวเองด้วย จึงฝังใจกับผู้ชายว่าเป็นคนเลว และสุดท้ายแม่ยังถูกฆ่าด้วยชายนิรนามที่แอฟริกาด้วย ทำให้ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งเธอได้ จึงเอาบัญชีรายชื่อผู้ชายที่เคยจดมาแก้แค้น
        เป็นเรื่องที่ 2 ที่อ่านในชุดสารวัตรวัลลันเดอร์ ยังน่าตื่นเต้น อ่านสนุกเหมือนเดิม แต่คิดว่าแนวทางการเดินเรื่องจะคล้าย กัน คือเป็นการฆ่าต่อเนื่อง และแต่ละคดีไม่มีความเกี่ยวพันกัน ไม่มีหลักฐานหลงเหลือ ซึ่งทำให้เรื่องมีความสนุก เพราะต้องติดตามว่าจะสืบสวนพบฆาตกรได้อย่างไร  ในตอนนี้ผู้เขียนได้เสนอปัญหาสังคมของสวีเดนในส่วนที่มีอาชญากรรม แล้วประชาชนทนไม่ได้จึงได้จัดตั้งกองกำลังป้องกันของตนเองขึ้นมา แต่ในที่สุดก็กลับเป็นตัวก่อความรุนแรงในสังคมขึ้นเอง ซึ่งทำให้ตำรวจต้องตัดต้นเหตุด้วยการรวบตัวผู้นำของกองกำลังนั้นอย่างเร็วที่สุด ทำให้เหตุไม่บานปลาย สารวัตรเคิร์ต วัลลันเดอร์ ยังเป็นนักสืบผู้ขยันขันแข็ง และมีสัญชาตญาณของตำรวจนักสืบเต็มเปี่ยม ทั้ง ที่ สารวัตรมีบุคลิกภาพที่"ค่อนข้างจะงุ่มง่าม เหมือนใจลอยตลอดเวลา และดูเหมือนเป็นคนขี้เหงา  แต่เป็นคนฉลาดในการวิเคราะห์พฤติกรรมของมนุษย์ และในหัวจะมีรายละเอียดของคดีอยู่เสมอ"  ยิ่งอ่านยิ่งชอบ

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

แม่



เเด่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ชื่อว่าแม่   
เมื่อคุณเกิดมาในโลกนี้   แม่อุ้มคุณไว้ในอ้อมอก  
คุณขอบคุณแม่ด้วยการเปล่งเสียงร้องไห้   
เมื่อคุณอายุ  1 ขวบ แม่ป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ   คุณขอบคุณแม่โดยการร้องไห้งอแง   
เมื่อคุณอายุ  2 ขวบ   แม่สอนให้คุณหัดเดิน
คุณขอบคุณแม่ด้วยการวิ่งหนีทุกครั้งที่แม่เรียกหา   
เมื่อคุณอายุ  3 ขวบ   แม่ทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก  
คุณขอบคุณแม่ด้วยการโยนจานลงบนพื้น   
เมื่อคุณอายุ  4 ขวบ   แม่ให้ดินสอสีแก่คุณ   คุณขอบคุณแม่ด้วยการระบายสีเลอะเต็มบ้าน  

เมื่อคุณอายุ  5 ขวบ   แม่แต่งชุดสวยๆ(หรือหล่อๆ)ให้คุณไปเที่ยว  
คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำชุดเลอะโคลน   
เมื่อคุณอายุ  6 ขวบ   แม่ไปส่งคุณที่รร. คุณขอบคุณแม่ด้วยการร้องไห้ตะโกนว่า  '
ไม่ไป... ไม่ไป... ไม่ไป... '' 
เมื่อคุณอายุ  7   ขวบ แม่ซื้อไอศกรีมให้คุณ  
คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว   
เมื่อคุณอายุ  8 ขวบ   แม่ซื้อลูกบอลให้คุณ   คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำกระจกเพื่อนบ้านแตก
  
เมื่อคุณอายุ  9 ขวบ   แม่สอนให้คุณเล่นเปียโน คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม  

เมื่อคุณอายุ  10 ขวบ แม่พาคุณไปเรียนพิเศษและพาไปงานวันเกิดเพื่อน  
คุณขอบคุณแม่ด้วยการกระโดดลงจากรถโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามอง   
เมื่อคุณอายุ  11 ขวบ   แม่พาคุณกับเพื่อนไปดูหนัง  
คุณขอบคุณแม่ด้วยการขอที่นั่งคนละแถว(หรือขอให้แม่ไม่ต้องดู)   
เมื่อคุณอายุ  12 ขวบ   แม่เตือนคุณว่าอย่าดูทีวี ให้ตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมเข้าม.1  
คุณขอบคุณแม่ด้วยการรอให้แม่ไปข้างนอกแล้วดูต่อ โดยไม่อ่านหนังสือเลย 
เมื่อคุณอายุ  13 ปี   แม่บอกให้คุณตัดผม คุณขอบคุณแม่ด้วยการด่าแม่ว่า  '
แม่นี่...ไม่มีรสนิยมเลย   ไม่ต้องมายุ่งกะหนู(ผม)หรอก ' 
เมื่อคุณอายุ  14 ปี  
แม่จ่ายเงินซัมเมอร์แคมป์ที่แพงแสนแพงเพื่อให้คุณได้เรียนสิ่งที่ดีๆ  
คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เขียนจดหมายหาแม่ซักกะฉบับ   
เมื่อคุณอายุ  15 ปี   แม่กลับบ้านหลักงานเลิกอยากกอดคุณสักกอด  
คุณขอบคุณแม่ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้องโดยไม่สนใจ
เมื่อคุณอายุ  16 ปี   แม่สอนคุณขับรถ คุณขอบคุณแม่ด้วยการขับรถหนีแม่ไปเที่ยว   
เมื่อคุณอายุ  17 ปี   แม่จ่ายค่าเรียนกวดวิชาให้คุณได้เรียนเพิ่ม
เพื่อหวังให้คุณเก่งและมีความรู้  
คุณขอบคุณแม่ด้วยการให้แม่ส่งข้างนอกเพื่อจะได้ไม่อายเพื่อน   
เมื่อคุณอายุ  18 ปี   แม่ร้องไห้ในวันที่คุณจบชั้นมัธยม  
คุณขอบคุณแม่ด้วยการฉลองกับเพื่อนตั้งแต่ค่ำยันเช้า   
เมื่อคุณอายุ  19 ปี   แม่รอโทรศัพท์สายสำคัญจากคุณ คุณขอบคุณแม่
ด้วยการใช้โทรศัพท์ตลอดคืนนั้น   
เมื่อคุณอายุ  20 ปี แม่ถามว่าคุณมีแฟนรึยัง   คุณขอบคุณแม่ด้วยการตอบว่า  '
แม่อย่ามายุ่งกะหนู(ผม)เลย ' 
เมื่อคุณอายุ  21 ปี   แม่แนะนำอาชีพของแม่ให้คุณทำในอนาคตของคุณ  
คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า  ' หนู(ผม)ไม่อยากเป็นอย่างแม่ ' 
เมื่อคุณอายุ  22 ปี   แม่อยากกอดคุณในวันรับปริญญา  
คุณขอบคุณแม่ด้วยการไปกอดกับเพศตรงข้ามกับคุณโดยไม่กอดแม่ที่ท่านอยากกอดคุณ   
เมื่อคุณอายุ  23 ปีแม่ซื้ออพาร์ตเม้นท์และเฟอร์นิเจอร์ให้แก่คุณ  
คุณขอบคุณแม่ด้วยการว่ากับเพื่อนๆลับหลังว่า ' มันช่างเชยและน่าเกลียดเสียนี่กระไร ' 
เมื่อคุณอายุ  24 ปี   แม่บอกให้คุณพาแฟนของคุณมาหาแม่ เมื่อคุณพามา  
แม่ถามพวกคุณว่าอนาคตวางแผนไว้ว่าอย่างไร   คุณขอบคุณแม่ด้วยการจ้องเขม็งและพูดว่า   '
แม่จะมายุ่งอะไรกะหนู(ผม)อีกเนี่ย '   
เมื่อคุณอายุ  25 ปี   ( สำหรับผู้ชาย)แม่ช่วยออกค่าสินสอดให้กับคุณ  
และบอกกับคุณว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน   คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' อายคนอื่นเขาน่า  
แม่ ' 
                  (สำหรับผู้หญิง)แม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานให้คุณ  
และบอกว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน   คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า '
หนูอยากไปอยู่ต่าง-ประเทศเพื่อจะได้สวีทกับแฟนโดยไม่มีแม่ ' 
เมื่อคุณอายุ  30 ปี แม่โทรมาหาและแนะนำวิธีเลี้ยงเด็ก   คุณขอบคุณแม่โดยการบอกว่า  '
สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะค่ะแม่ ' 
เมื่อคุณอายุ  40 ปี แม่โทรมาชวนคุณไปงานวันเกิดญาติ   คุณขอบคุณแม่และญาติว่า  '
ตอนนี้ไม่ว่างเลย ' 
เมื่อคุณอายุ  50 ปี แม่ชราและไม่สบาย   อยากให้คุณดูแล   คุณขอบคุณแม่ด้วยการบอกว่า  '
มันเป็นภาระนะแม่   หนูมีงานอีกเยอะแยะ ' 
และแล้ววันหนึ่ง แม่จากคุณไปอย่างสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน  
จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณ   
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่ ' แม่ ' 
ไม่มีอะไรมาแทนแม่ได้ แม้ว่าบางคราวแม่จะไม่ใช่คนที่เข้าใจคุณมากที่สุด  
หรือเห็นด้วยกับคุณ   แต่ก็คือ ' แม่ ' ของคุณ   และเชื่อได้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ  
รับฟังคุณ ความกังวลของคุณ   
ลองถามตัวเองดู คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้า   ความกังวลใจไม่ว่าจากการงาน   จากงานบ้าน
หรือจากงานในครัวของแม่ไหม  
คุณเคยนึกถึงความทุกข์ของแม่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อคุณและทุกคนไหม   
รักแม่ให้มาก   แม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างการ   เพราะเมื่อแม่จากไป  
จะเหลือเพียงความเสียใจและความทรงจำเท่านั้น  

อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด   รัก"แม่"ให้มากกว่ารักตัวเอง  
แสดงให้แม่รู้ว่าคุณก็"รัก"ก่อนที่จะทำได้เพียงบอกรักกับ"รูป"ของแม่เท่านั้น   
ถ้าใครเป็นคนที่รัก "แม่" 
โปรดส่งข้อความนี้ให้กับเพื่อน ๆ หรือ คนรู้จัก
อย่างน้อย 9 คน ห้ามขาดแม้แต่คนเดียว แต่เกินได้ไม่จำกัดจำนวนคน 
แล้วคุณจะโชคดี .  .   .    .     .      .       .        .         .       
"... โปรดรักแม่ เหมือนอย่างที่แม่รักคุณ ... " 

 

คดีนายพัน คำกอง

คดีการตายของแท็กซี่เสื้อแดง"นายพัน คำกอง"ที่ศาลอาญานัดฟังคำสั่งเมื่อวานนี้ (๑๗ กย.๕๕) ก็เช่นกัน หลายคนเข้าใจว่า"เป็นคำพิพากษา"โดยศาลระบุว่าทหารร่วมกันยิง ตามคำสั่ง"กระชับพื้นที่"ของอดีตนายกฯอภิสิทธิ์และรองฯสุเทพ ในเหตุการณ์เผาบ้าน-เผาเมือง เมื่อปี ๒๕๕๓ และ "อภิสิทธิ์-สุเทพ"จะต้องมีความผิดฐานฆ่าคนตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘


ฟังสรุปๆจากข่าว ฟังสรุปๆจากปากนายธาริต เพ็งดิษฐ ฟังสรุปๆจากกิ่งทอง-ใบหยก "เหวง-ธิดา" ผมคิดว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ซึ่งไม่ค่อยเข้าใจถึงความสลับซับซ้อนของระเบียบและขั้นตอนกฎหมาย รวมถึงภาษากฎหมาย อาจหลงเข้าใจอย่างนั้นจริงๆว่า

ศาลตัดสิน "ทหารฆ่าประชาชน" โดยนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เป็นคนสั่งในฐานะผอ.ศอฉ.!

เรื่องของกฎหมาย ในกรณีนี้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง อย่าเพิ่งเอาเหตุการณ์ทั้งหมดสรุปลงแค่นั้น แล้วเที่ยวพูดจาในด้านที่เป็นประโยชน์ฝ่ายตนให้ผู้คนหลงเข้าใจผิดตามๆกันไปเลย ไม่อย่างนั้น เมื่อถึงวันที่ศาลตัดสินจริงๆ ด้วยความเข้าใจผิดกันแต่แรกนั้น ถ้าคำพิพากษาออกมาไม่เป็นอย่างที่ตัวเอง "หลง" เข้าใจแต่แรก ก็จะยกพวกมาตะโกนกันอีกแหละว่า...๒ มาตรฐาน ยุติไม่เป็นธรรม

ก็ขอทำความเข้าใจให้ตรงกันนะครับว่า นี่ไม่ใช่คำตัดสิน"คดีนายพัน คำกอง"จากศาล เป็นเพียง"ไต่สวนการตาย"ในชั้นสอบสวนของตำรวจเท่านั้น ยังไม่มีโจทก์ ไม่มีจำเลย ไม่มีการฟ้อง ยังไม่มีใครผิด-ใครถูกใดๆทั้งสิ้น

เป็นเพียงขั้นตอนนำคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาความให้เป็นไปตามตัวบท-กฎหมายเท่านั้น เพราะในวัน-เวลา และเหตุการณ์ที่นายพันคนเสื้อแดงตายนั้น เป็นการตายใน "สถานการณ์ฉุกเฉิน" ที่ทหารต้องออกมาปฏิบัติตามพรบ.ฉุกเฉิน และทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๗๗ และตามมาตรา ๓ พรบ.รักษาความมั่นคงภายใน

การตายใน "ภาวะไม่ปกติ" กฎหมายมีระเบียบ-ขั้นตอนให้ปฏิบัติต่างไปจาก "ตายภาวะปกติ" ฉะนั้น กรณีนายพัน คำตา นี้ ขั้นแรก อัยการต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนการตายก่อน เพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่า คนตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อไหร่ สาเหตุอะไร รวมถึงพฤติการณ์ที่ตาย

นั่นก็คือ ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๐ ก่อน โดยเฉพาะการตายเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ทหาร การชันสูตรพลิกศพ และอะไรต่างๆนานาต้องเคร่งครัดให้เป็นไปตามม.๑๕๐ กำหนด

เพราะนี่...พูดกันในภาษาชาวบ้าน คือการ "วิสามัญฆาตกรรม" หรือ "ฆาตกรรมอย่างวิสามัญ" จากพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้ทำหน้าที่ตามกฎหมาย ถึงแม้กฎหมายระบุ พนักงานเจ้าหน้าที่ทำฆาตกรรมอย่างวิสามัญเป็นไปตามกรอบกำหนด ไม่มีความผิด ไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ใดๆก็ตาม

แต่ในทางคดี ต้องดำเนินการตามมาตรา ๒๘๘ "ฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตาย"มีโจทก์ มีจำเลย ถูกฟ้องร้องต่อศาล แล้วศาลจะเป็นผู้วินิจฉัยและตัดสินเองว่า ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ทำฆาตกรรมอย่างวิสามัญนั้น เข้าเข้าเกณฑ์ ไม่ต้องรับโทษหรือไม่

พอเข้าใจลางๆกันบ้างไหมครับ เหมือนตำรวจทำวิสามัญฆาตกรรมโจรนั่นแหละ และเมื่อวาน ศาลได้ไต่สวนการตายของนายพัน คำกอง แล้ว ก็มีคำสั่งว่า

"ผู้ตายชื่อนายพัน คำกอง ตายที่หน้าที่สำนักงานขายคอนโดมีเนียมชื่อไอดีโอคอนโด ถนนราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง เหตุและพฤติการณ์ที่ตายเกิดจากการถูกลูกกระสุนปืนขนาด .223 (5.56 มม.) จากอาวุธปืนที่ใช้ในราชการสงคราม ที่เจ้าพนักงานทหารร่วมกันยิงไปที่รถยนต์ตู้หมายเลขทะเบียน ฮค-8561 กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีนายสมร ไหมทอง เป็นผู้ขับ แล้วลูกกระสุนปืนไปถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย ในขณะเจ้าพนักงานทหารกำลังปฎิบัติหน้าที่รักษาความสงบปิดล้อมพื้นที่ควบคุมตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)"

นั่นแหละ ที่ใครต่อใคร รวมทั้งนายธาริต เพ็งดิษฐ์ เลือกหยิบเฉพาะประเด็นที่ศาลบอกว่า "ตายเพราะทหารยิง" ไปพูดจาแตกดอก-ออกช่อ โดยเว้นประโยคที่ศาลระบุถึงการถูกยิงตายว่า "ในขณะเจ้าพนักงานทหารกำลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบ ปิดล้อมพื้นที่ตามคำสั่งของศอฉ."

แต่เฉไฉตีขลุมไปเป็นคนละเรื่องเดียวกันเลยว่า...มั้ยล่ะ ไม่มีชุดดำที่ไหนมายิง-มาฆ่าประชาชนซักหน่อย มีแต่ทหารฆ่าประชาชน

นายธาริตล้ำหน้าไปไกลถึงขั้นต่อแแขน-ต่อขาให้เสร็จสรรพว่า นายอภิสิทธิ์-สุเทพ ต้องตกเป็นผู้ต้องหา เป็นจำเลยในคดีฐานสั่งทหารฆ่าไปโน่น!

ครับ...ถ้าต้องการพูดตามกฎหมาย ก็ควรพูดให้หมดเปลือก ไม่ควรลีลาการเมืองแบบอมเนื้อ-อมเปลือก ให้คนฟังจินตนาการเอง พูดแค่ครึ่งเดียวที่ อภิสิทธิ์-สุเทพ ต้องตกเป็นผู้ต้องหา แต่ไม่พูดอีกครึ่ง ในส่วนที่กฎหมายคุ้มครองการกระทำของนายอภิสิทธิ์-สุเทพ และทหาร

ตรงกันข้าม ศาลสั่ง "ไม่คุ้มครองการชุมนุม" ของพวกนปช.ด้วยซ้ำ!

เอ...นายธาริตน่าจะรู้ดีนี่นา เห็นตอนนั้นก็ร่วมอยู่ใน ศอฉ.เคยออกมาตอกหน้าแงพวกเสื้อแดงปั๋ง..หงาย..ปั๋ง..หงาย แต่พอสมสู่กับอำนาจใหม่ ไหงธาริตกลายเป็น "ชายผู้ไร้เดียงสา" ไปซะล่ะ?

ถ้าจำไม่ได้ ผมช่วยรื้อความจำให้ก็ได้ หลังฆ่าทหารที่สี่แยกคอกวัว นปช.คึกขยายแนวป่วนเมือง ครั้นทหารจะเข้าไปสลายการชุมนุม ๒๒ เมย.๕๓ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็เป็นโจทก์ไปยื่นคำฟ้องต่อศาลแพ่ง ขอให้ศาลออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามนายอภิสิทธิ์สั่งทหารเข้าสลายการชุมนุมอย่างเด็ดขาด

แล้วศาลแพ่งท่านมีคำสั่งว่าอย่างไร ถ้าธาริตลืม ผมก็จะนำมาให้ท่านอ่านฟื้นความจำว่า การทำหน้าที่ของรัฐบาล-ทหารตอนนั้น ศาลท่านคุ้มครองผู้ทำหน้าที่รักษาบ้านเมือง หรือว่าคุ้มครองผู้ทำลายบ้าน-ทำลายเมืองกันแน่?

คดีหมายเลขดำที่ 1433/2553

ศาลแพ่ง วันที่ 22 เมษายน 2553 ระหว่าง นายจตุพร พรหมพันธุ์ โจทก์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน เป็นจำเลย

พิเคราะห์คำฟ้องประกอบข้อเท็จจริงที่ได้ความจากการไต่สวนในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นหนึ่งในแกนนำผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ในนามของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งได้ชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถนนราชดำเนินกลาง และถนนราชดำเนินนอก เพื่อกดดันให้นายกรัฐมนตรี (จำเลยที่ 1) ยุบสภา ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. 2553 เป็นต้นมา

ต่อมาวันที่ 3 เม.ย. โจทก์และผู้ร่วมชุมนุมบางส่วนได้เคลื่อนย้ายไปชุมนุมในบริเวณสี่แยกราชประสงค์อีกแห่งหนึ่ง ครั้นวันที่ 7 เม.ย. จำเลยที่ 1 โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียง นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ยังมีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่พิเศษ 1/2553 จัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และตั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี (จำเลยที่ 2) เป็นผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน กับมีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่พิเศษ 2/2553 ตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้กำกับการปฏิบัติงานของหัวหน้าผู้รับผิดชอบ พนักงานเจ้าหน้าที่และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มีความร้ายแรง

ก่อนเกิดเหตุจำเลยทั้งสองได้ประกาศให้โจทก์ และนปช. ออกจากพื้นที่การชุมนุมบริเวณสี่แยกราชประสงค์ ต่อมาวันที่ 10 เม.ย.จำเลยทั้งสองร่วมกันออกคำสั่งให้ทหารจำนวนมากเข้าไปในบริเวณพื้นที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ และพื้นที่ต่อเนื่อง โดยประกาศว่าเพื่อเป็นการขอพื้นที่คืนจากผู้ชุมนุม ในวันเดียวกันนั้น เกิดเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกำลังฝ่ายทหารกับประชาชนผู้ชุมนุม โดยกำลังฝ่ายทหารใช้ปืนยิงกระสุนยาง ระเบิดก๊าซน้ำตา ฯลฯ

ในที่สุด ปรากฏว่ามีประชาชนและทหารเสียชีวิต จำนวน 25 คน และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

กรณีมีเหตุที่จะออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวตามคำขอของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์และผู้ร่วมชุมนุม ไปชุมนุมในที่สาธารณะบริเวณสี่แยกราชประสงค์ ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ถนนราชดำริถึงแยกศาลาแดง และถนนพระรามที่ 1 ถึงห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน อันเป็นการปิดกั้นกีดขวางการใช้เส้นทางคมนาคม และการใช้ยานพาหนะของประชาชนโดยทั่วไป ย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่สำคัญ เกิดความเดือดร้อนเสียหายต่อการประกอบอาชีพ และการดำรงชีวิตปกติสุขของประชาชน เป็นการจำกัดเสรีภาพในการเดินทาง และสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จึงมีเหตุจำเป็นที่จำเลยทั้งสองต้องใช้มาตรการขอพื้นที่คืน หรือที่โจทก์เรียกว่าเป็นการสลายการชุมนุมได้ ทั้งนี้ เพื่อให้สังคมกลับสู่สภาวะปกติ และเกิดความสงบเรียบร้อยของประชาชน

ดังนั้น ที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งสองใช้กำลังทหารเข้าไปสลายการชุมนุมโดยเด็ดขาด จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะมีคำสั่งตามคำขอข้อนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินการดังกล่าวเป็นเหตุให้มีทหาร และประชาชนเสียชีวิต 25 คน และได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก แม้ขณะนี้ ยังไม่อาจทราบได้ว่าเป็นผลจากการกระทำของฝ่ายใด แต่การที่มีทหารและประชาชนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ประกอบกับปัจจุบันนี้ ยังปรากฏว่ามีการชุมนุมของนปช. อยู่อย่างต่อเนื่องในพื้นที่ดังกล่าว และน่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองอาจออกคำสั่งใดๆ เพื่อดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ในการชุมนุม ย่อมมีเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในส่วนนี้แก่โจทก์ได้

จึงมีคำสั่งว่า หากจำเลยทั้งสองจะกระทำการใดๆ ในการขอพื้นที่คืนหรือสลายการชุมนุมของผู้ร่วมชุมนุม ให้ดำเนินการเท่าที่จำเป็น โดยคำนึงถึงความเหมาะสม มีลำดับขั้นตอนตามหลักสากล ทั้งนี้ จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก


ฉะนั้น เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง คำสั่งศาลครั้งนี้ ไม่ใช่ธงเพื่อ DSI จะได้ทำคดีที่เหลือไปในแนวทาง ไม่มีชายชุดดำในฝูงนปช.ฆ่าใคร มีแต่ทหารฆ่าประชาชนอย่างเดียว อย่างที่นายธาริตเอ่ยประมาณนั้น ความจริง การให้ศาลไต่สวนความตาย เป็นขั้นตอนของคดี "ฆาตกรรมอย่างวิสามัญ" ธรรมดาๆเท่านั้นเอง

ขั้นตอนต่อไป ศาลจะส่งสำนวนคืนอัยการ อัยการก็จะส่งต่อให้ตำรวจท้องที่เกิดเหตุรวบรวมหลักฐาน ทำสำนวนคดี"วิสามัญฆาตกรรม"นั่นแหละส่งให้อัยการ เพื่อการอัยการส่งฟ้องต่อศาลเพื่อตัดสิน ไม่เพียงคดีนายพัน คำตาเท่านั้น สิ่งที่ควรปฏิบัติแต่แรกด้วยซ้ำไปก็คือ

ตำรวจท้องที่แต่ละแห่งที่เกิดเหตุ ควรทำสำนวนคดีวิสามัญฆาตกรรมไปตามปกติ ไม่ควรที่ DSI ปั้นจิ้ม-ปั้นเจ๋อ อยากเป็นเปาบุ่นจิ้นหน้าแดง สุดท้าย การป่วนเมืองต้องตายเพราะทหารทำหน้าที่ คดีเช่นนี้ ก็ต้องส่งคืนตำรวจท้องที่ทำคดีตามมาตรา ๑๕๐ อยู่ดี

ความไม่รู้ ไม่เข้าใจขั้นตอนกฎหมาย ๑ รู้และเข้าใจ แต่เลือกหยิบเฉพาะประเด็นไปพูดเพื่อหวังผลบางอย่าง ๑ สุดท้ายแล้ว พวกเสื้อแดงก็จะเลือกหยิบเฉพาะคำว่า "ทหารยิง" ไปตีฟอง โดยไม่พูดให้จบความว่า เพราะไปทำอะไร...ทหารจึงยิง ?

และอยู่ในสถานการณ์ที่รัฐบาล-ทหารต้องทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ทั้งขณะนั้น มีการประกาศใช้กฎหมายในสถานการณ์ฉุกเฉิน การฆ่าผู้ก่อจลาจลเผาบ้าน-เผาเมือง ตามขั้นตอนตามหลักสากล..ผิดหรือ?