วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ร้านหนังสือ 24/7 ของคุณเพนุมบรา

ร้านหนังสือ 24/7 ของคุณเพนุมบรา (Mr. Penumbra' 24-hour bookstore) สโลน, โรบิน. แปลโดย ศรรวริศา เมฆไพบูลย์. ปทุมธานี : กำมะหยี่, 2557. 297 หน้า. ราคา 260 บาท.


เคลย์ เจนนอน เป็นพนักงานกะดึกที่ ร้านหนังสือ 24 ชั่วโมงของคุณเพนุมบรา ซึ่งเป็นร้านหนังสือเล็ก ๆ ในนครซานฟรานซิสโก ร้านนี้มีมุมหนึ่งเป็นหนังสือมือสอง แต่อีกมุมจะเป็นชั้นหนังสือที่ลึกและสูงเหมือนป่าต้นสน ที่เคลย์เรียกว่าชั้นหนังสือสุดซอย และเป็นส่วนที่คุณเพนุมบราไม่อนุญาตให้พนักงานร้านเปิดอ่านเด็ดขาด มีหน้าที่แค่หยิบหนังสือมุมนี้ให้ลูกค้าที่เป็นสมาชิก ซึ่งต้องนำเล่มเก่ามาคืนก่อน จึงจะยืมเล่มใหม่ออกไปได้ นอกจากนี้เคลย์ยังมีหน้าที่จดบันทึกเหตุการณ์ไว้ในสมุดบันทึกประจำวัน แต่ร้านนี้มักจะไม่มีลูกค้าเข้าร้าน เคลย์จึงคิดเขียนโค้ดเพื่อทำ  Data Visualization ด้วยข้อมูลจากสมุดที่เขาต้องบันทึกทุกวันมาทำเป็นภาพสามมิติในเครื่องแมคของตัวเอง ทำให้เคลย์ได้พบว่าการยืมหนังสือเหล่านั้นมีแพทเทิร์นที่ทำให้เกิดภาพบางอย่างขึ้นมา และต่อมาได้ร่วมมือกับแคต โพเทนต์ สาวทำงานที่ Google ซึ่งก็ได้นำเทคโนโลยีจาก Google มาช่วย ทำให้ได้หน้าของผู้ก่อตั้งสมาคมลับที่ชื่อว่า สมาคมสันหนังสือสนิทจากนั้นเคลย์และเพื่อน ๆ ก็เข้าไปสู่สมาคมลับที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นครนิวยอร์ก
สมาคมสันหนังสือสนิทเป็นสมาคมที่พยายามไขปริศนาจากโคเด็กซ์วิเท (หนังสือชีวประวัติ) ของผู้ก่อตั้งสมาคมที่ชื่อ อัลดัส แมนิวเทียส มาหลายร้อยปี เพื่อหาความลับของการมีชีวิตนิรันดร์ ซึ่งเคลย์และแคตสนใจที่จะร่วมไขปริศนาด้วย แต่เป็นไปในทางนำเทคโนโลยีจาก Google มาช่วยค้นหาปริศนานั้น แต่แล้วความลับทั้งหมดกลับไปอยู่ที่แม่พิมพ์ต้นแบบของกริฟโฟ แกร์ริตส์ซูนที่เป็นเพื่อนรักของ อัลดัส แมนิวเทียส ที่ส่งสารแห่งความเป็นนิรันดร์มา
     เป็นหนังสือที่นำเอาบุคคลจริง  เหตุการณ์จริง หนังสือจริง มาผสมผสานกับองค์กรขนาดยักษ์อย่าง Google บวกกับจินตนาการของผู้เขียนอย่างสมาคมลับได้อย่างพอเหมาะ เป็นหนังสือที่อ่านสนุก แฝงไว้ด้วยอารมณ์ขันตลอดเวลา แม้จะมีเรื่องสมาคมลับ การค้นหาชีวิตนิรันดร์ แต่ไม่มีเรื่องความรุนแรง อาฆาต
    ยิ่งกว่านั้น เรื่องนี้ยังพาผู้อ่านเข้าไปดูการทำงานของ Google เลยทีเดียว และน่าตื่นตายิ่งขึ้นในฉากที่ต้องไขปริศนาโคเด็กซ์วิเทของอัลดัส แมนิวเทียส ด้วยการระดมเครื่องคอมพิวเตอร์ของ Google  มาช่วยกันทำงานให้ ทำให้การไขปริศนาว่าด้วยชีวิตนิรันดร์ที่ต้องใช้เวลาเป็นร้อย ๆ ปี ที่สมาชิกของสมาคมทำอยู่ เหลือเพียง 1 วัน
   จริง ๆ ตอนจบของหนังสือเรื่องนี้ค่อนข้างหักมุม เพราะการไขปริศนาจบลงแบบง่าย ๆ ไม่ต้องอาศัยศูนย์ข้อมูล เทคโนโลยีทันสมัยใด ๆ การไขปริศนาอยู่ที่ตัวพิมพ์ต้นแบบของแกร์ริตส์ซูนนั่นเอง เพราะการประดิษฐ์ตัวพิมพ์นี้ ก่อให้เกิดการทำหนังสือ และแม้แต่เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ต้องใช้ตัวอักษรแกร์ริตส์ซูนที่ถูกกำหนดเป็นค่ามาตรฐานของตัวอักษร ทำให้แกร์ริตส์ซูนยังอยู่ทุก ๆ ที่รอบตัวเรา  มีความเป็นอมตะตลอดกาล
 “เรื่องเล่าอันงดงามที่เสริมด้วยการใช้ข้อเท็จจริงอย่างกล้าหาญ (เช่น มีกูเกิล และสำนักงานจริงในเรื่อง) นำเราสู่โลกลี้ลับแห่งความลวงและการคาดเดา เป็นประสบการณ์การอ่านที่ทรงพลังและอัศจรรย์เกินปฏิเสธได้
จอร์จ ซอนเดอร์, นิตยสาร บลิป
นิก ฮาร์คาเวย์


 “หนังสือมองโลกในแง่ดีเล่มนี้ พูดถึงการพบกันของเทคโนโลยีสมัยใหม่และปริศนายุคกลาง เป็นแผนที่นำไปสู่ความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างโลกเก่าและโลกใหม่

โรบิน สโลน ผู้แต่งหนังสือนี้

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558

คนนอก

คนนอก. กามู, อัลแบร์. อำพรรณ โอตระกูล, แปล.  พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : สามัญชน, 2533. ราคา 48 บาท

คนนอกเป็นเรื่องราวของชายชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อเมอโซ มีอาชีพเป็นพนักงานประจําบริษัทแห่งหนึ่งในเมืองอัลเจียร ประเทศอัลจีเรีย (ในขณะนั้นยังเป็นเมืองขึ้นของประเทศฝรั่งเศสอยู่) ที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และมีความสุขในชีวิตอย่างธรรมดา ไม่สุขล้นเหลือ ไม่ทุกข์มากมาย ทำงานตามหน้าที่ๆ ควรจะเป็น
        เนื้อเรื่องแบ่งออกเป็น 2 ภาค
ภาคแรก เรื่องราวในภาคนี้เมอโซจะพูดถึงชีวิตของตนเองและเพื่อน โดยเริ่มต้นขึ้น เมื่อเมอโซทราบข่าวการตายของแม่ ที่อาศัยอยู่ที่บ้านพักคนชรา เขาต้องไปเฝ้าศพแม่ในคืนนั้นเขา เขาปฏิเสธที่จะให้คนเปิดฝาโลงศพเพื่อดูหน้าแม่เป็นครั้งสุดท้าย และยังสูบบุหรี่ต่อหน้าโลงศพด้วย อีกทั้งยังดื่มกาแฟใส่นมและนอนหลับได้
เสร็จสิ้นพิธีฝังศพ เขาก็กลับไปพบกับหญิงคนหนึ่งชื่อ มารี ทั้งสองไปว่ายน้ำและดูหนังด้วยกัน ทั้งสองเริ่มสนิทขึ้นเรื่อยๆ มารีถามกับเขาว่ารักเธอรึเปล่า เขาไม่ตอบว่ารักหากแต่เขาบอกว่าเขาพร้อมจะแต่งงานกับเธอหากเธอต้องการ
เมอโซมีเพื่อนบ้านสองคน คนหนึ่งเป็นชายแก่ชื่อซาลามาโน เลี้ยงหมาที่เป็นหมาขี้เรื้อน ดูเหมือนจะไม่ดีต่อสุนัขเท่าไร เขาไม่ยอมให้สุนัขหยุดฉี่ ไม่ยอมพาเดินออกนอกเส้นทาง เมื่อมันฝืนเขาก็จะตีและด่ามันจนมันหมอบด้วยความกลัว แต่เขาก็รักมัน เพราะเขามักจะพาหมาขี้เรื้อนของเขาไปเดินเล่นสองครั้งต่อวัน เป็นกิจวัตรที่ไม่เคยเปลี่ยน เขาได้สุนัขตัวนี้มาหลังจากภรรยาตายได้ไม่นาน วันหนึ่ง เมื่อหมาขี้เรื้อนของเขาหายไป เขาก็กระวนกระวายและพยายามตามหามัน สุดท้าย เมอโซได้ยินเสียงประหลาดลอดช่องฝากระดาน ทำให้เขารู้ว่า ตาแก่ซาลามาโนร้องไห้ 
ส่วนอีกคนชื่อเรมอนด์มีเมียเป็นคนอาหรับ ซึ่งเขาจับได้ว่ามีชู้ ทำให้อยากลงโทษเธอ เรมอนด์จึงปรึกษาเมอโซว่าจะทำอย่างไรถ้าเป็นเขา สุดท้าย เมอโซลงมือร่างจดหมายฉบับหนึ่งเพื่อด่าว่าหญิงสาวคนนั้นให้แก่เรมอนด์ นั่นทำให้เรมอนด์ประทับใจมาก และถือเมอโซเป็นเพื่อนคนหนึ่ง
    เมอโซ มารี และเรมอนด์ ไปเที่ยวทะเลที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง ก่อนออกเดินทาง พวกเขารู้สึกได้ว่ามีกลุ่มชาวอาหรับติดตามอยู่ เรมอนด์คาดได้ทันทีว่า นั่นเป็นพี่ชายของเมียของเขาที่กำลังมีเรื่องกันอยู่ และพวกเขาได้เจอชาวอาหรับกลุ่มนั้นอีกเมื่อเดินทางไปถึงทะเล จนเมื่อต้องปะทะกัน เมอโซซึ่งรู้จักนิสัยเพื่อนดี พูดจาปรามเพื่อนเพื่อให้เหตุการณ์ไม่รุนแรง เขาสามารถเอาปืนมาเก็บเอาไว้ที่ตัวได้ แทนที่จะให้เป็นเรมอนด์ที่เป็นคนถือปืนเอาไว้ การปะทะกันครั้งนั้นต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บ เมื่อเรื่องยุติลง ต่างคนแยกจากกัน แต่แล้วแทนที่เมอโซจะขึ้นบ้านพักไปกับเรมอนด์ เมอโซกลับออกมาเดินที่ชายหาดเพียงลำพังอีกครั้ง และบังเอิญเจอกับชาวอาหรับกลุ่มเดิม พระอาทิตย์ส่องแสงแรงจ้า ร่างกายที่เหงื่อชุ่ม โดยไม่มีเหตุผลใดอธิบายได้ เขาเหมือนเห็นแสงสะท้อนของใบมีดที่กระทบกับดวงอาทิตย์ มันทำให้เขาคว้าปืนออกมายิงหนึ่งนัดจนอีกฝ่ายล้มลง และยิงซ้ำต่อไปอีก 4 นัด
ภาคสอง  เมอโซจะเลาถึงชีวิตของตนภายหลังถูกจับกุมในข้อหาฆ่าคนตาย โดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการไตสวนคดีของเขาในศาล ซึ่งผลการสอบสวนกลับเป็นเรื่องที่ว่า ทำไมเมอโซจึงให้แม่ไปพักอยู่ที่บ้านพักคนชรา ทำไมเมอโซจึงไม่ร่ำลาแม่ที่หลุมศพ ทำไมเมอโซจึงไม่รู้อายุของแม่ ทำไมเขาจึงไม่ร้องไห้ในพิธีศพ และไปว่ายน้ำหลังจากวันฝังศพของแม่ และเริ่มมีความสัมพันธ์กับหญิงคนหนึ่ง ซ้ำยังไปดูหนังตลก
        ความเห็นของอัยการ ที่มีต่อคดีฆาตกรรมของเมอโซเป็นว่า "คดีนี้จึงเป็นคดีที่สกปรกโสมมที่สุดในบรรดาที่เคยมีมา เพราะจำเลยเป็นผู้มีศีลธรรมเสื่อมอย่างมหันต์"
ผู้พิพากษา ได้กล่าวกับเขาด้วยฐานความเชื่อของชาวคริสเตียน "ผมไม่เคยเห็นดวงวิญญาณใดชาเย็นเหมือนดวงวิญญาณของคุณ อาชญากรที่มาอยู่ต่อหน้าผมมักจะร้องไห้ต่อหน้ากางเขน ภาพแห่งความทุกข์ของพระองค์เสมอ"
ทนายของเมอโซ เกลี้ยกล่อมให้เขาแสดงความเสียใจต่อการจากไปของแม่ต่อหน้าศาล แต่เมอโซเลือกจะแสดงออกในแบบที่เขาเป็น ไม่ใช่แบบที่สังคมคาดหวังจะเห็น
          คดีดำเนินไปโดยที่เมอโซมีส่วนร่วมน้อยมาก ดูเหมือนว่าเขากลายเป็นผู้สังเกตการณ์ในคดีที่เขาเป็นจำเลยเอง ซึ่งลงเอยด้วยคําตัดสินประหารชีวิต มิใช่โทษฐานที่ฆ่าชาวอาหรับตาย แต่โทษฐานที่ ฆ่ามารดาทางจิตใจ
อัลแบร์ กามู
เขาพูดกับทนายของตนไว้ว่า แน่ละนี่มันสนามของคุณนี่ เกมของคุณ ผมมันคนนอก ผมแค่ยืนดูพวกคุณเล่นเกมน้ำลาย และเอ่ยถึงคำว่าศีลธรรมกันจนน่าสะเอียน จบเกมคุณลากคอผมขึ้นเครื่องประหารกิโยตินโดยที่ผมไม่ได้แม้จะบอกกล่าวความคิดของตัวเอง
เรื่องมาจบลงในวันสุดท้าย ก่อนที่เมอโซจะถูกนําไปสู่ลานประหารชีวิต

นวนิยายเล่มนี้เป็นบทประพันธ์เรื่องเด่นของอัลแบร์ กามู (1913-1960)  ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1957 ภาคภาษาไทยออกเผยแพร่ในปี 2510 จากฝีมือแปลของอําพรรณ โอตระกูล หนังสือเล่มนี้เป็นแรงบันดาลใจสําคัญต่อนักศึกษาและปัญญาชนในยุคที่เรียกกันต่อมาว่า ยุคฉันจึงมาหาความหมาย”