วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประชาธิปไตยที่แท้จริง


  นำมาจากคอลัมน์เปลว สีเงิน ฉบับวันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2555 อ่านแล้วต้องส่งต่อ เพราะนี่คืออนาคตประเทศไทย  คนไทยต้องช่วยกันในการแสดงออกที่สงบสันติ ไม่ใช่อย่างคนเสื้อแดง เอะอะก็ยกพวกไปรังแกคนอื่น ห้ามใครต่อใครที่ไม่ถูกใจเข้าเขตอิทธิพลของตน ไม่รู้เอาสิทธิ์อะไรมาห้าม แสดงเป็นอันธพาล ถ่อยเถื่อน
      บนเส้นทางสายเปลี่ยน บ้านเมืองถึง "ทางแยก" ไหนทางโจร..ไหนทางประชา..พวกปล้นเมืองมันเอาคำว่า "อธิปไตย" ไปต่อท้ายจนผู้คนไขว้เขว "เป๋ทาง" ไปมาก-ต่อมาก ฉะนั้น วันนี้ขอนำป้าย "ประชาธิปไตย" ชัดๆ มาปัก ป้ายนี้ผมไม่ได้เขียนเอง หากแต่ "คุณสุรพงษ์ ชัยนาม" อดีตเอกอัครราชทูต ๕ ประเทศท่านเขียน ผ่านการสนทนากับ "สมณะเดินดิน" ทาง FMTV คืนก่อนที่เสธ.อ้ายประกาศปฏิญญา "บันได ๒ ขั้น" ที่สนามม้านางเลิ้ง เมื่อ ๒๘ ต.ค.๕๕
    ค่อนข้างยาวในหัวข้อ "ประชาธิปไตยคืออะไรกันแน่?" แต่ผมอ่านแล้ว "ชัดเจน" ตอบโจทย์สังคมสับสนได้ครบถ้วน ถือเป็นการละเลยที่เสียหายยิ่ง ถ้าผมไม่นำมาบอกต่อตรงช่วง "หัวแยกสังคม" ต่อไปนี้เป็น คำพูด-คำตอบ ของท่านทูตสุรพงษ์ทั้งหมดครับ
    คุณค่าประชาธิปไตยอยู่ที่ว่า ประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิ์เลือกผู้ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ และในขณะเดียวกันก็มีสิทธิ์โค่นล้มผู้ที่ตนเลือกเข้าไป หากคณะบุคคลนั้นไร้จริยธรรม ขาดความชอบธรรม ขาดคุณธรรม  
    และเมื่อระบบรัฐสภาถูกผูกขาด ประชาชนก็อาจทำการโค่นล้มได้ด้วยการออกมาชุมนุม นี่คือการใช้สิทธิ์แสดงความไม่พอใจในระบบการเมืองที่ผูกขาดแบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก เป็นการแสดงสิทธิ์อันชอบธรรมนอกระบบรัฐสภา 
    เพราะ "รัฐสภาผูกขาด" ไม่เอื้อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง!
    ทุกคนควรเข้าใจว่า นี่คือประชาธิปไตย เพราะสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงสิทธิ์ด้วยช่องทางอื่น ผู้คนจึงต้องออกมาบนท้องถนน ซึ่งมีตัวอย่างมาแล้วทั่วโลก เวลาที่ประชาชนโค่นเผด็จการเราจะต้องไม่เข้าใจผิดว่า คำจำกัดความของประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งเท่านั้น  โปรดอย่าได้ติดกับดักเช่นนั้นเป็นอันขาด
    การชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้งก็ต้องนับว่าเป็นประชาธิปไตย และเป็นการยืนยันว่า ประชาชนต้องการให้คนไทยทั่วไปและต่างประเทศเห็นว่า รัฐบาลนี้ไม่สามารถคิดค้นประดิษฐ์อนาคตประเทศไทยที่ปฏิเสธสถานการณ์ปัจจุบัน  
  การจะเปลี่ยนแปลงประเทศได้นั้น เราจำเป็นต้องปฏิเสธความเลวร้ายที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ เพื่อที่จะได้คิดค้นอนาคตใหม่ของชาติที่มิได้อิงอยู่กับปัจจุบัน 
    แต่สิ่งที่รัฐบาลนี้กำลังทำก็คือ "สร้างอนาคตจากปัจจุบันอันเลวร้าย"!
    การชุมนุมครั้งนี้คือ การแสดงให้เห็นว่าคนไทยไม่ยอมจำนน และถ้ารัฐบาลไม่มีความชอบธรรม คนไทยก็ไม่จำเป็นต้องรอถึงสี่ปีให้ประเทศชาติเสียหายมากไปกว่านี้ สิ่งที่สำคัญก็คือ การที่ใครสักคนได้รับเลือกตั้งเข้ามา ก็ไม่ได้หมายความว่า คนผู้นั้นมีจิตวิญญาณของนักประชาธิปไตย  
    ค่านิยมที่เปลี่ยนไปของไทยก็คือ คนที่มาจากการเลือกตั้งนั้น มีสิทธิ์โกงกินได้ เพราะประชาชนเลือกเขาเข้ามา”!  
    หากเรายังปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ อนาคตของชาติก็จะเติบโตขึ้นจากค่านิยมเช่นนี้ จนในที่สุดสิ่งที่ผิดก็จะกลายเป็นถูก ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรมก็จะถูกบิดเบือน เยาวชนในอนาคตก็จะตกเป็นผลผลิตของค่านิยมที่ผิดและอันตราย เราจึงต้องรู้จักปฏิเสธปัจจุบันอันเลวร้าย เพื่อผลิตอนาคตที่รู้จักปฏิเสธปัจจุบัน (อันเลวร้าย) 
    ประเทศชาติจะเจริญได้ ไม่เกี่ยวกับว่า "รัฐบาลและผู้บริหารต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้นแต่ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ที่เข้ามาบริหารบ้านเมืองมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ ดีเพียงไร มีคุณธรรมจริยธรรมหรือไม่ การเคารพกฎหมายไม่จำเป็นที่ว่าจะต้องมีระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นจึงจะเคารพ 
    ประชาธิปไตยในตัวมันเองไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายไหน แต่มันสามารถเป็นเครื่องมือให้คนกลุ่มต่างๆ พวกเผด็จการก็จะหากินกับประชาธิปไตย โดยมักใช้เปลือกของประชาธิปไตย (การเลือกตั้ง) เพื่อตบตาเพื่อความอยู่รอดของระบอบเผด็จการ 
    ประชาธิปไตยในตัวมันไม่ทำร้ายใคร แต่ขึ้นอยู่กับว่า มันถูกฝ่ายใดเอามาใช้ประโยชน์อย่างฉ้อฉล  การเลือกตั้งนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงกระพี้ แต่แก่นแท้ของประชาธิปไตยคือ การมีองค์กรอิสระคอยตรวจสอบ อำนาจสามส่วนต้องถ่วงดุลกัน มีนิติรัฐ นิติธรรม มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และโปร่งใส
    แต่ประเทศไทยทุกวันนี้ ประชาธิปไตยตกอยู่ในมือของกลุ่มคนที่มิได้มีจิตวิญญาณเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ปัญหาของประเทศไทยปัจจุบันนี้ ไม่ใช่เราไม่มีประชาธิปไตย แต่เป็นเพราะประชาธิปไตยถูกละเมิด ถูกบิดเบือน และถูกทำลายต่างหาก  
ประชาชนเลิกเชื่อตัวบทกฎหมาย แต่หันไปเชื่อตัวบุคคล มันคือประชาธิปไตยที่ไร้วินัย ไร้กฎกติกา ไร้ระเบียบ (ต่างจากกรณีฟิลิปปินส์และมากอสที่สมัยนั้นเขาไม่มีประชาธิปไตยเลย) 
    การชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้ง คือการแสดงออกของประชาชน ว่าเขาไม่ยอมจำนนต่อสิ่งเหล่านี้ และต้องการจะบอกว่า เราต้องการประชาธิปไตยที่ครบสมบูรณ์ทั้งรูปแบบและเนื้อหา ประชาธิปไตยให้เสรีภาพที่จะเลือก แต่มันไม่ใช่เท่านั้น เสรีภาพที่แท้จริงคือการไปเลือกตั้งด้วยความเข้าใจ และใช้สติปัญญา ใช้เหตุใช้ผล 
    หากเรามองย้อนอดีต เราจะเห็นว่า มีนโยบายหลายอย่างที่นำความเจริญมาให้ประเทศไทยโดยที่ขณะนั้นไม่มีประชาธิปไตย เช่นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ 
    หรือการเข้าร่วมอาเซียนของไทยในปี ๒๕๑๐ ซึ่งอยู่ในสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร  หรือแม้แต่เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ก็เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน ซึ่งก็มิได้มาจากการเลือกตั้ง (และเป็นยุค รสช.ด้วยซ้ำ) 
    เราจึงเห็นได้ว่า มีนโยบายหลายอย่างที่นำความเจริญมาสู่บ้านเมืองภายใต้รัฐบาลซึ่งมิได้มาจากการเลือกตั้ง แต่หากเรามองรัฐบาลที่ผ่านการเลือกตั้งเข้ามา เรากลับพบว่า เต็มไปด้วยการคอรัปชั่นโกงกินและไร้ประสิทธิภาพในการบริหารบ้านเมือง  
    ดังนั้น เราจึงควรระลึกถึงข้อเท็จจริง (ที่มีตัวอย่างให้เห็นแล้ว) ที่ว่า ความเจริญก้าวหน้าของประเทศ ไม่จำเป็นต้องมาจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเสมอไป สถาบัน EIU กล่าวว่า ๗ ใน ๑๐ ประเทศที่ประชาธิปไตยมั่นคง คือประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทั้งสิ้น เช่น เดนมาร์ก, นอร์เวย์ ฯลฯ 
    แต่ปัจจุบันนี้ มีคนบางกลุ่มพยายามจะบอกว่า ประเทศไทยจะเจริญได้ต้องไม่มีพระมหากษัตริย์  ซึ่งไม่เกี่ยวกันเลย
    คนไทยสรุปบทเรียนไม่เป็น แต่ชอบสูตรสำเร็จ แต่นั่นคือหายนะ เพราะประชาธิปไตยคือ กระบวนการที่ต้องพัฒนาอยู่ตลอดเวลา การเอาสูตรสำเร็จมาใช้ทั้งดุ้น เลียนแบบต่างชาติโดยไม่ปรับใช้ ก็รังแต่จะพัง 
    "ประชาธิปไตยจะต้องถูกนำมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ ประเพณี วัฒนธรรม ค่านิยม สังคมของชาตินั้นๆ เราจะต้องไม่ยอมรับประชาธิปไตยสำเร็จรูป"
    คำถาม: การชุมนุมครั้งนี้ สถานการณ์ยังสุกงอมไม่พอหรือเปล่า?
    สุรพงษ์: ทุกคนรู้ว่าปัญหาคืออะไร เพราะฉะนั้นทุกคนอยู่ในสถานะที่ ๑) ต้องการแก้ปัญหา จึงพยายามออกมาเรียกร้องแสดงสิทธิ์ หรือมิฉะนั้นก็ ๒) นั่งอยู่กับบ้านเฉยๆ และกลายเป็นตัวปัญหาเสียเอง เพราะเท่ากับปล่อยให้รัฐบาลสร้างปัญหาต่อไปเรื่อยๆ
    การบอกว่า เราจะเลือกเป็นทั้งสองข้าง คือเป็นทั้งซ้ายและขวา นั่นคือคำแก้ตัวของพวกที่ชอบลอยตัว ไม่ยอมตัดสินใจเลือก แต่ผู้ที่ออกมาชุมนุมคือผู้ที่เลือกแล้วว่า ตนจะไม่ยอมจำนนต่อความเลวร้ายที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ การชุมนุมไม่เกี่ยวกับว่าสถานการณ์สุกงอมหรือยัง 
    แต่มันคือการแสดงจุดยืนว่า คนไทยจะไม่ทนต่อสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้ ยกตัวอย่าง รัฐประหาร ๑๙ กันยา สมัยนั้นมีปัญหาเรื่องเทมาเส็ก กับเรื่อง ผบ.ทบ.เท่านั้น กระนั้นก็ยังมากพอที่จะทำให้เกิดรัฐประหาร แต่หากเรามองดูสถานการณ์ปัจจุบัน ขณะนี้มีอะไรบ้างที่ชั่วร้าย...มีมากมายนับไม่ถ้วน 
    ถ้าอย่างนี้ จะว่ายังไม่สุกงอมหรือ?  
    การพิจารณาความสุกงอม ต้องดูข้อเท็จจริงว่าบ้านเมืองมีสิ่งเลวร้ายอะไรบ้าง ถ้าประชาชนออกมาแสดงให้ข้อเท็จจริงนี้ให้ประจักษ์ กระบวนการการเปลี่ยนแปลงก็จะเริ่มขึ้นจากจุดนี้ ภัยร้ายแรงของรัฐบาลนี้ ไม่ใช่ประชาชนที่ออกมาชุมนุม แต่คือตัวรัฐบาลและพรรคพวกเอง (ที่เลวร้าย) 
    ถ้าไม่อยากให้ชุมนุม รัฐบาลก็อย่าเป็นอย่างที่คนเขาพูด อย่าเป็นสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้น ถ้ารัฐบาลไม่เป็นอย่างที่คนเขากล่าวหา คนก็ไม่มีเรื่องจะให้ชุมนุม
    เราต้องเชื่อมั่นว่า เราเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้ ถ้าเราไม่มีความเชื่อมั่นเช่นนั้น ต่อให้ไปชุมนุมก็ไม่ต่างจากคนที่นั่งอยู่กับบ้าน
    จบครับ...ผมตัดทอนไปบ้างด้วยเนื้อที่จำกัด แต่เนื้อหา "ประชาธิปไตย" อยู่ครบ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น