วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ไม่มีวันสิ้นโลก

ฟอลเลต, เคน. ไม่มีวันสิ้นโลก พิภพจะสถิตตราบชั่วนิรันดร์ = World without end. แปลโดย กุลธิดา บุณยะกุล-ดันนากิ้น. กรุงเทพฯ : นกฮูก, 2554. 1327 หน้า. 820 บาท.

        เป็นหนังสือภาคต่อจาก Pillars of the Earth เนื้อหาเริ่มต้นในปี 1327 ถัดมา 200 ปีจากภาคแรก โดยเรื่องราวรวมศูนย์อยู่ที่วิหารคิงส์บริดจ์ซึ่งสร้างขึ้นจากภาคแรก ตัวละครหลักคือเพื่อนในวัยเด็ก 4 คน คือ เมอร์ธิน (เด็กอัจฉริยะ) ราล์ฟ น้องชาย (นักเลง) ตัวละคร 2 ตัวนี้สืบเชื้อสายมาจากตัวละครใน Pillars of the Earth เกว็นดา (หัวขโมย) และคาริส (เด็กหญิงที่อยากเป็นหมอ) ซึ่งมีความเกี่ยวพันกันตลอด 3 ทศวรรษต่อมา ชีวิตทั้ง 4 คน เติบโตตามวิถีของแต่ละคน คือเมอร์ธินจะเดินทางท่องโลก แต่จะกลับบ้านในที่สุด ส่วนราล์ฟได้เป็นขุนนาง แต่มีใจเสื่อมทราม คาริสจะท้าทายความยิ่งใหญ่ของโบสถ์ในยุคมืด และเกว็นดาจะไล่ตามความรักซึ่งเป็นไปไม่ได้ ทั้งสี่จะมีชีวิตอยู่ในยุคมืดในช่วงของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างใหญ่หลวง ยุคสมัยที่ศาสนาและระบบขุนนางควบคุมชะตาชีวิตผู้คน สงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส โรคระบาดคือกาฬโรคที่คร่าชีวิตผู้คนไปหนึ่งในสามของทั้งทวีปยุโรป ความอดอยากจากสภาพอากาศที่เลวร้าย เป็นต้น
          เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ (historical drama) ระดับมหากาพย์ที่ถือว่าดีที่สุดเรื่องหนึ่งของ Ken Follet แสดงให้เห็นสังคมของยุโรปในสมัยนั้นได้อย่างดี ตัวละครมีทั้งความดีความเลว ความรักและความเกลียดชัง ความทะเยอทะยาน และริษยาอาฆาต ผู้อ่านจะมีความรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในสมัยนั้นอย่างแท้จริง ตัวละครทุกตัวมีชีวิตจิตใจมีเลือดเนื้อและจิตวิญญาณเหมือนเช่นคนธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไป การดำเนินเรื่องจะเข้มข้นมาก แต่ขณะเดียวกันก็เดินเรื่องได้รวดเร็ว บางช่วงจะคอยลุ้นช่วยตัวเอกของเรื่อง เช่น ตอนคาริส ที่ถูกใส่ความว่าเป็นแม่มด จะรอดจากการลงโทษของศาลศาสนาได้อย่างไร แต่เรื่องก็หักมุมว่าคาริสต้องถูกจับบวชเป็นแม่ชี ทั้ง ๆ ที่ไม่เต็มใจ และบางช่วงจะอ่านด้วยความรู้สึกอึดอัดบอกไม่ถูก ว่าคนเลวร้ายอย่างราล์ฟ จะถูกจับได้หรือไม่ แต่ทุกครั้งราล์ฟก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นเรื่อย ๆ จนได้เป็นท่านเอิร์ล คอยข่มเหงผู้คนในปกครอง เป็นต้น ตลอดเรื่องจะได้เห็นว่าคนดีไม่จำเป็นว่าจะได้ผลตอบแทนในทางที่ดีเสมอไป และคนร้ายก็ไม่ถูกลงโทษไปเสียทุกครั้ง
          แต่ในตอนจบของเรื่องก็ได้แสดงให้เห็นว่าคนที่มีจิตใจดีและอดทนจะได้มีชีวิตที่ดีในที่สุด เช่น เมอร์ธิน และคาริสที่ได้มีความรักที่สมหวัง และได้ช่วยกันสร้างสังคมที่ไม่ขึ้นกับศาสนาและสงฆ์ หรือเกว็นดาที่ได้รับรู้ว่าสามีที่เธอรักมาก และคิดว่าเขาไม่ได้รักเธอเลย มีความรักให้เธอตลอดเวลา และไม่เคยแบ่งปันใจให้ใครเลย เป็นต้น แสดงให็นว่า นี่คือโลกของความจริง โลกซึ่งคนเหมาะสมเท่านั้นจะมีชีวิตอยู่รอด

ชื่อเรื่อง World Without End มาจากบทสวดสรรเสริญพระเจ้าของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่ว่า    Glory be to the Father, and to the Son, and to the Holy Spirit.
As it was in the beginning, is now and ever shall be, world without end. Amen.
World without end หมายถึงโลกและชีวิตที่เป็นนิรันดร์หลังจากที่โลกเก่าสิ้นสุดไปแล้ว

 




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น